Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1141

ตอนที่ 1141

บทที่ 1141 อยู่นอกเหนือความคาดหมาย

ฉินซีสามารถมองเห็นภาพตัวเองในความทรงจำมาเจอกับฟางฟางเข้า หลังจากที่สิ้นสุดบทเรียนฝึกอบรมแล้ว

ในตอนนั้นดูไปแล้วเธอได้กลายเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่เย็นชาตัวหนึ่งไปแล้ว เพราะฉะนั้นตอนที่เห็นฟางฟางใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ เธอก็แค่พยักหน้าให้อย่างเย็นชา

และความผิดหวังของฟางฟางก็ไม่ได้ปกปิดไว้ ฉินซีสามารถเห็นเขาพึมพำออกมาประโยคหนึ่งอย่างชัดเจนว่า “สุดท้ายเธอก็โดนเปลี่ยนแปลงอยู่ดี”

มีแต่ตัวฉินซีเองที่รู้ ว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้โดนบทเรียนขององค์กรนี้เปลี่ยนแปลงไปซะทั้งหมด

เพียงแต่ว่าเธอจำเป็นจะต้องแสดงออกไปว่าได้เปลี่ยนเป็นคนในแบบที่องค์กรต้องการแล้ว

ไม่อย่างงั้น บทเรียนที่ต่อต้านเธอก็จะต้องดำเนินต่อไป จนกระทั่งเธอได้กลายเป็น“มนุษย์หุ่นยนต์”ไปอย่างแท้จริงแล้ว ถึงจะสิ้นสุด

ฉินซีในตอนนี้มองใบหน้าที่ผิดหวังของฟางฟาง แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดความสงสัยอย่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา

……ทำไมฟางฟางถึงได้ดำรงอยู่ในองค์กรที่ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ “มนุษย์หุ่นยนต์” อย่างนี้ได้ล่ะ?

เธอยังจำตอนครั้งแรกที่เจอฟางฟางได้ และก็คำพูดที่นักทดสอบหญิงคนที่เกือบจะลงมือโหดเหี้ยมกับเธอคนนั้นพูดกับฟางฟางได้

“ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่มีความรู้สึกอย่างคนทั่วไป”

แล้วรวมกับความสัมพันธ์ของเขาและจ้านเซิน รวมทั้งเบาะแสทุก ๆ อย่างรวมกันแล้ว มันทำให้ฟางฟางผู้หญิงที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ ดูไปแล้วกลับความลึกลับขึ้นมาหลายส่วน

เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉินซียังหาความทรงจำที่จะสามารถมาอธิบายเกี่ยวกับปัญหานี้ยังไม่ได้ แต่กลับพบความทรงจำที่เธอพบเจอกับลู่เซิ่นในครั้งแรก

ในความทรงจำกับทุกอย่างที่ลู่เซิ่นบอกเธอนั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก เพียงแต่ว่าพอมองจากมุมมองของตัวเองแล้ว ก็ยิ่งมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก

ฉินซีคิดถึงหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่ลู่เซิ่นบอกว่าสนใจในตัวเธอ ก็เพราะว่าความสงบนิ่งตอนที่เธอเผชิญหน้ากับระเบิด พอตอนนี้มามองจากมุมมองของตัวเองไปแล้ว ฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ

เธอก็ต้องไม่รู้สึกตื่นตระหนกกับระเบิดนี้อยู่แล้ว

เพราะว่านี่เป็นรายละเอียดในภารกิจของเธอ

ที่จริงแล้ว ที่ฉินซีปรากฏตัวขึ้นในห้องแสดงงานศิลปะนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจ

ห้องแสดงงานศิลปะจะมีเรื่องถูกจู่โจมนั้นได้มีองค์กรก่อการร้ายข่มขู่มาล่วงหน้าตั้งนานแล้ว มีกระทั่งจดหมายข่มขู่ส่งมาให้ทางผู้จัดงาน พอทางผู้จัดงานไม่มีทางเลือกก็เลยเลือกแจ้งตำรวจ แล้วตำรวจเมืองหนานหลังจากที่สืบค้นไปสืบค้นมา ก็ค้นหามาถึงองค์กรของฉินซี เพื่อให้มาช่วยแก้ไขปัญหานี้

ที่จริงภารกิจนี้ไม่ได้ซับซ้อนมาก ฉินซีแทบจะไม่ได้เสียแรงอะไรเลย ก็สามารถตามสืบเสาะหาองค์กรนี้กลับไปได้แล้ว และยังสามารถเอารูปแผนผังที่องค์กรนั้นเตรียมจะวางระเบิดไว้มาได้ด้วย

องค์กรเอารูปส่งมอบให้ตำรวจเมืองหนาน แล้วก็เตรียมแผนรับมือไว้ให้ ก็ถือได้ว่าภารกิจนี้สำเร็จแล้ว แต่ว่าก็แค่พอดีที่ฉินซีได้รับการเชิญมาด้วย องค์กรก็เลยให้เธอไปเฝ้าติดตามสถานการณ์ของภารกิจนี้ด้วยสักหน่อย

ภารกิจนี้แทบจะเป็นฉินซีทำสำเร็จด้วยตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นแผนการรับมือนี้เธอก็เข้าใจอย่างชัดเจนดี

ตามข่าวกรองที่ได้รับมานั้น กลุ่มผู้จู่โจมขององค์กรก่อการร้ายจะแฝงตัวเข้ามาวางระเบิดในห้องแสดงงานศิลปะ ในช่วงที่ตกแต่งสถานที่ล่วงหน้าหนึ่งอาทิตย์ แต่ทางห้องแสดงงานศิลปะจะประกาศกฎอัยการศึกก่อนที่เปิดแสดงอย่างเป็นทางการหนึ่งวัน เพราะฉะนั้นพวกเขาจะให้สมาชิกสลายตัวออกไปทั้งหมด แต่ว่ารอตอนที่เปิดแสดงอย่างเป็นทางการนั้น พวกเขาก็จะแฝงตัวเข้ามากับผู้คนที่มาชมงาน

เพราะฉะนั้นฉินซีจึงแนะนำกับทางตำรวจว่า ในคืนก่อนงานแสดงจะเปิดให้ถอดระเบิดที่จะมีแรงทำลายล้างสูงออกไปก่อน ส่วนระเบิดบางส่วนที่ไม่ร้ายแรงมากหรือที่วางไว้ค่อนข้างสะดุดตาก็ไม่ต้องถอดออก เพื่อใช้สิ่งนี้มาหลอกตากลุ่มคนที่แฝงตัวเข้ามาดูสถานการณ์ เพื่อให้พวกเขาเดินไปตามแผนการที่ตัวเองได้วางไว้ก่อนหน้าต่อไป เพื่อจะได้ให้ทางตำรวจรวบพวกเขาทีเดียวได้หมด

เพราะฉะนั้นภาพเหตุการณ์ที่ห้องแสดงมีระเบิด และมีคนถือปืนออกมาจู่โจม ภาพพวกนี้ต่างก็อยู่ในสิ่งที่ฉินซีคาดการณ์ไว้แล้ว แน่นอนว่าเธอก็ต้องไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไปที่ต้องตื่นตระหนกกันอยู่แล้ว

……ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ภารกิจของเธอ และเธอเองก็ไม่ต้องตื่นตระหนกซะเท่าไหร่

แต่ว่าการพบเจอกับลู่เซิ่นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเธอ

พอเห็นผู้ชายคนนี้ที่ยืนอยู่ในผลงานภาพถ่ายของตัวเองนั้น ในความทรงจำของฉินซีได้หลงเหมือนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้อย่างซื่อตรง

……หัวใจของเธอเปลี่ยนเป็นเต้นเร็วถึงขีดสุด

การฝึกฝนในปกตินั้น จะต้องให้เธอคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงในร่างกายตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ในวินาทีนั้นที่จังหวะการเต้นหัวใจตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ถึงได้ทำให้ตัวเองจดจำได้ลึกซึ้งขนาดนี้

และพอเห็นลู่เซิ่นอยู่ในความทรงจำ ในตอนนี้วินาทีนี้ฉินซีก็สามารถรู้สึกได้ว่า หัวใจของตัวเองเหมือนโดนอะไรมาบีบไปครั้งหนึ่ง รู้สึกจี๊ด ๆ แน่น ๆ

เธอหลอกตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าลู่เซิ่นจะทำเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจไว้มากมายจริง ๆ ก็ตาม เรื่องโกรธคือเรื่องจริง แต่ว่ายังรักเขาอยู่ ก็ยังคือเรื่องจริงเช่นกัน

เรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องที่พูดว่าขาดก็จะขาดได้เลยที่ไหนกัน

ไม่งั้นทำไมถึงได้แค่เห็นเงาราง ๆ ของเขาอันหนึ่งอยู่ในความทรงจำ และนึกย้อนกลับไปถึงการพบตัวเองครั้งแรกอย่างที่เขาเคยพูดไว้ ก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความคิดถึงที่มีต่อลู่เซิ่น

ดูท่าแล้ว การฝึกฝนขององค์กรกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงเธอได้อย่างแท้จริง

ถึงแม้ในห้าปีเต็ม ๆ จะโดนสั่งสอนทุกวันให้กลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึกคนหนึ่ง แต่ว่าการสั่งสอนแบบนี้จะมาต่อต้านธรรมชาติได้ยังไงล่ะ

อย่างน้อยตัวเธอในวินาทีนั้น ยังเป็นคนเป็น ๆ คนหนึ่งอยู่

จิตใจหวั่นไหวให้ลู่เซิ่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังชื่นชมผลงานของตัวเองอีกด้วย

……ที่แท้ความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อลู่เซิ่น ก็เคยเป็นรักแรกพบมาก่อน

หรืออาจจะสามารถพูดได้แบบนี้ คือบ่ายวันนั้นคนที่ลู่เซิ่นเจอ ไม่ใช่ฉินซีที่เข้าร่วมกับองค์กรมาห้าปีและผ่านการฝึกให้กลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์แล้ว แต่เป็นฉินซีที่เติบโตมาอย่างราบรื่นในตระกูลฉินแล้วก็ร่าเริงสดใสและไร้เดียงสาอย่างแท้จริง

สิ่งที่เธอทำทั้งหมดกับสิ่งที่ปกติปฏิบัติผ่าน ๆ กับคนอื่นนั้นไม่เหมือนกัน รอยยิ้มทุกครั้ง ล้วนมาจากใจจริง

เธอกับตัวเองในความทรงจำ และลู่เซิ่นเดินดูรอบห้องแสดงงานศิลปะไปรอบหนึ่ง หยุดฝีเท้าลงตรงหน้ารูปทุกรูปที่ตัวเองชอบ แล้วได้ยินเสียงระเบิดพร้อมกัน และส่งผู้คนออกไปพร้อมกัน ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน วนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลพร้อมกัน แล้วเดินมาถึงหน้าประตูพร้อมกัน

สุดท้าย ถึงแม้ในใจของฉินซีจะเสียดายแค่ไหน แต่เธอก็รู้ว่าความทรงจำช่วงนี้จะไปถึงจุดจบในทันทีแล้ว

สุดท้ายเธอก็ไม่กล้าทิ้งวิธีติดต่อกับลู่เซิ่นไว้ และแม้แต่ชื่อก็ไม่กล้าบอก

……อาจจะเพราะว่าเธอยังพอมีสติเส้นสุดท้ายอยู่ ยังจำได้ว่าตัวเองเป็นคนขององค์กร

การสั่งสอนมาตลอดห้าปีก็เพื่อให้เธอละทิ้งความรู้สึกทุกอย่าง

เธอรู้ว่าถ้าหากครั้งนี้ให้ช่องทางการติดต่อกับลู่เซิ่นไว้ งั้นเธอก็คงจะตกลงสู่ห้วงแห่งความรู้สึกอย่างไม่ต้องสงสัย

ตลอดทั้งบ่ายจิตใจหวั่นไหวโดยไม่มีใครสังเกตการณ์อยู่ถึงแม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ว่าถ้าหากเกิดมีใจอยากจะคบกับลู่เซิ่นขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะก็ เธอไม่กล้าไปคิดถึงผลที่จะตามมาทีหลังเลย

เพราะฉะนั้นเธอได้แต่โบกมือลาลู่เซิ่น ก่อนที่เขาจะพูดคำพูดเหนี่ยวรั้งอะไรขึ้นมาเธอก็รีบหมุนตัวแล้วจากไป ไม่กล้าหันหน้ากลับไปอีกเลย

ฉินซีสามารถรับรู้ได้ว่ามุมปากของตัวเองได้คลี่ยิ้มไว้ตลอด

…….

หมอและจ้านเซินที่อยู่ในห้องกลับไม่รู้ว่าฉินซีกำลังนึกถึงอะไรอยู่ พวกเขาไม่มีทางเหมือนฉินซีที่เข้าไปอยู่ในความทรงจำของเธอได้ สิ่งที่พวกเขามองเห็นได้ มีแต่ฉินซีกำลังอยู่ในความเจ็บปวดมาก และยิ้มขึ้นจาง ๆ เท่านั้น

จ้านเซิน แทบจะเป็นไปโดยสัญชาตญาณ ครู่เดียวก็ชักสีหน้าขึ้นมา

เข้ารู้ดี ว่าฉินซีจะต้องนึกถึงลู่เซิ่นขึ้นมาแล้วแน่ ๆ

แต่ว่าเขาไม่มีทางควบคุมความทรงจำของฉินซีได้

เขาเป็นคนอยากจะให้ฉินซีจดจำทุกอย่างขึ้นมาได้ อย่างงั้นก็จะต้องจำลู่เซิ่นได้แน่นอน

ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่ว่าพอมาถึงเวลานี้จริง ๆ เขาโกรธมากยิ่งกว่าที่ตัวเองคาดคิดไว้ซะอีก

ทั้ง ๆ ที่คนที่ฉินซีเจอก่อนเป็นตัวเอง คนที่อยู่กับฉินซีเป็นเวลามากกว่าก็คือตัวเอง แล้วมีสิทธิ์อะไรที่ลู่เซิ่นก็แค่มาปรากฏตัวขึ้นแค่แป๊บเดียว ก็มายึดครองสายตาทั้งหมดของฉินซีไปแล้ว ?

เขาไม่เต็มใจ

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท