บทที่ 1168 เงื่อนงำซ่อนอยู่
สถานที่ที่กักขังมู่วี่สิงคืออีกเรือนจำหนึ่ง
ครั้งนี้ลู่เซิ่นไม่ได้ใช้เส้นสายของอารอง แต่ได้ให้หลินหยังไปจัดเตรียมหน่อย สุดท้ายก็ได้เข้าเยี่ยมนักโทษอย่างราบรื่น
มู่วี่สิงเพิ่งถูกขัง หัวหน้าเรือนจำก็ไม่กล้าทำอะไรเขาจริงๆ แม้แต่กุญแจมือก็ไม่ได้ใส่ให้เขา ยิ่งอย่าบอกว่าจะบีบบังคับให้เขาโกนหัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย
ดังนั้นลู่เซิ่นแค่มองแวบแรกก็เห็นมู่วี่สิงที่ยืนอยู่ในห้องเยี่ยมนักโทษยังมีหน้าตาเป็นผู้เป็นคนอยู่ หัวเราะเยาะอย่างเรียบเฉยอยู่ในใจ
แต่เห็นได้ชัดว่าเวินจิ้งไม่ได้สังเกตเห็นพวกนี้เลยด้วยซ้ำ เธอเห็นมู่วี่สิงปุ๊บ ก็ได้พุ่งไปที่ตรงหน้าเขาอย่างไว เงยหน้าเค้นถามเขา: “มู่วี่สิง! คุณจงใจใช่มั้ย?!”
ลู่เซิ่นเลือกมุมดีๆให้ตัวเอง คอยนั่งดูความสนุกสนานอยู่ข้างๆ น้ำตาของเวินจิ้งไหลพรากลงมาอย่างไม่หยุด คำพูดที่มู่วี่สิงพูดออกมากลับเด็ดขาดกว่าที่เธอคิดเสียอีก ราวกับว่า………….จะอาศัยโอกาสนี้ตัดขาดกับเวินจิ้งอย่างสิ้นเชิงอย่างงั้นเลย
เวินจิ้งเองก็คงตระหนักถึงจุดนี้ น้ำตายิ่งไหลพรากลงมาใหญ่เลย
ลู่เซิ่นมองดูคนนี้ที แล้วมองดูคนนั้นที แอบถอนหายใจอยู่ในใจลึกๆ
ความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ ทำให้คนกลายเป็นคนที่………ไม่เหมือนตัวเองขนาดนี้
แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่ไม่สนใจความรักของคนอื่น ตอนนี้อดทนอยู่ที่นี่ แค่อยากจ้องจับตาดูเวินจิ้งดีๆ เพื่อไม่ให้เธอเจอมู่วี่สิงแล้วเปลี่ยนใจเฉยๆ
นึกไม่ถึงเลยว่ามู่วี่สิงอยากให้เธอจากไปมากกว่าลู่เซิ่นเสียอีก
มองจุดนี้กระจ่าง ความหวานแหววของทั้งคู่ พออยู่ในสายตาของลู่เซิ่นก็ค่อนข้างน่าเบื่อขึ้นมาแล้ว เขาจึงได้สะกดตัวเองรอไปอีกสักพัก ในที่สุดก็ได้รอมู่วี่สิงพูดคำอำลาที่“น่าขยะแขยงมาก”จนจบ และหันหลังไปจากห้องเยี่ยมนักโทษ
แต่เวินจิ้งกลับยังอยู่ที่เดิมอีกเช่นเคย น้ำตาไหลอย่างเงียบๆ
ในที่สุดลู่เซิ่นอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ และเดินมาที่ข้างกายเธอ: “คุณหยุดร้องได้แล้ว เขาไม่เอาคุณแล้ว”
เขาไม่คิดจะปลอบใจเวินจิ้ง ที่ยิ่งกว่าคือ…….อยากเร่งรัดเธอ
มู่วี่สิงก็ไปแล้ว ยืนร้องไห้อยู่ที่นี่จะมีประโยชน์อะไร?
นึกไม่ถึงว่าเวินจิ้งจะเป็นคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี และคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองปลอบใจคนไม่เป็น เขาพูดต่อ:“ถ้าเขายังรักคุณยังอยากรั้งคุณไว้ ปกติต้องแสดงให้ตัวเองดูตกอับน่าเวทนาหน่อย ตอนนี้เขาชัดเจนมากว่าอยากแยกทางกับคุณ ความสุขของคุณเขาก็ไม่คิดจะเป็นห่วงแล้ว คุณยังร้องไห้อะไรอีก”
เห็นได้ว่าสีหน้าแววตาของเวินจิ้งยิ่งดูแย่ น้ำเสียงก็ยิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้นมา:“ฉันขอเตือนคุณเลยนะ คุณอย่าเอะอะก็บอกว่าๆที่ภรรยา ผู้ชายที่แข็งกระด้างอย่างคุณ ถึงหน้าตาหล่อแล้วจะมีประโยชน์อะไร ฉันไม่ชอบคุณ ยิ่งไม่มีทางแต่งงานกับคุณหรอก คุณตายใจเถอะ”
ลู่เซิ่นมองเธออย่างเหลือเชื่อ: “ดังนั้น ความหมายของคุณคือ ผมสู้สามีเก่าของคุณไม่ได้?”
เวินจิ้งไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาได้ ไม่ได้พูดต่อจากคำพูดเขา จู่ๆตัวเองได้เปลี่ยนประเด็น และเงยหน้ามองเขา: “มู่วี่สิงจะไม่เป็นไรจริงๆใช่มั้ย?”
ลู่เซิ่นถูกกลอกตาขาวใส่หลายทีและถูกสบประมาทไปรอบหนึ่ง ย่อมอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เขาก็ไม่มีความอดทนที่จะตอบเวินจิ้งดีๆ ทิ้งไว้แค่คำเดียว“ใครจะไปรู้” จากนั้นก็เดินจากไปเลย
เดินไปหลายก้าว ถึงพบว่าเวินจิ้งยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ตามมา อดไม่ได้ที่จะกลอกตาขาวทีหนึ่ง: “ยังไม่ไปอีก พี่ชายคุณรอคุณช่วยชีวิตอยู่เชียวนะ”
เห็นได้ชัดว่า หลินยี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการเร่งรัดเวินจิ้ง เธอได้ยินปุ๊บก็ตามเขาไปแต่โดยดีเลย
ลู่เซิ่นแบะปากมองบนอยู่ในใจ ถ้ารู้ก็พูดชื่อของหลินยี่ออกมาตั้งนานแล้ว ก็จะได้ไม่ต้องดูทั้งสองพูดหวานแหววกันนานขนาดนี้
เขา……..ยังคิดถึงภรรยาของตัวเองแน่ะ
แต่เวินจิ้งจะไป แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปมือเปล่า ลู่เซิ่นได้แต่สะกดอารมณ์ของตัวเองไว้ แล้วไปการ์เด้นมูเจียวานที่ๆเธอพักอยู่ในเมืองหนาน ไปเก็บข้าวของๆเธอ
เขาไม่มีอารมณ์สนใจเลยสักนิดว่าเวินจิ้งจะเก็บของอะไร ดังนั้นพอเข้ามาถึงที่การ์เด้นมูเจียวานก็นั่งลงบนโซฟา กวาดสายตามองหมาน่าเกลียดที่ผู้หญิงคนนั้นเลี้ยงทีหนึ่ง ในใจแอบเปรียบเทียบการ์เด้นมูเจียวานกับรีสอร์ทชิงหยวน สุดท้ายได้ข้อสรุป ไม่ว่าจุดไหนๆของรีสอร์ทชิงหยวนก็ดีกว่าที่นี่หมด
เวินจิ้งคงจะไปเก็บของอย่างอื่น ลู่เซิ่นไม่คิดจะตามเข้าไป
เขากำลังเตรียมหยิบมือถือออกมาดูว่ามีงานใหม่ต้องจัดการมั้ย จู่ๆมือถือกลับดังขึ้น
ลู่เซิ่นอึ้ง
คนที่โทรเข้ามาคือ……อานหยัน
จู่ๆหนังตาของเขากระตุก ราวกับว่ามีลางสังหรณ์ไม่ดี
ทำไมอานหยันถึงโทรมา……ตอนนี้ได้ล่ะ?
ถ้าอานหยันอยู่กับฉินซี เธอเห็นสายที่ไม่ได้รับในมือถือตัวเอง แต่ก็ต้องรู้แน่นอนว่าตัวเองหาฉินซี
เขารู้ว่าอานหยันเป็นคนที่ดูสถานการณ์เป็น ดังนั้นขอแค่รู้จุดนี้ คงไม่โทรกลับเอง แต่จะต้องให้ฉินซีเป็นคนโทรมาเอง
แต่ว่าสายที่เรียกเข้านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสายเรียกเข้าของอานหยัน
ลู่เซิ่นสงบจิตสงบอารมณ์ และรับสาย
“ฮัลโหล?” เขาพูด
“ประธานลู่?” เสียงของอานหยันค่อนข้างเอะใจ “ฉันเห็นคุณโทรหา มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
พริบตาเดียวลู่เซิ่นขมวดคิ้วขึ้นมา เสียงก็เริ่มเยือกเย็น: “ผมหาฉินซีครับ”
“ฉินซี?” เสียงของอานหยันยิ่งอยู่ยิ่งงงงวย “งั้นคุณต้องจะโทรหาเธอสิถึงจะถูก”
“พวกคุณไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ?” ลู่เซิ่นยิ่งอยู่ยิ่งกังวลใจ เพราะคำพูดของอานหยัน
“พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันนี่คะ” อานหยันตอบอย่างไวมาก “ฉันมาทำงานที่ต่างประเทศหนึ่งสัปดาห์แล้วค่ะ ไม่ได้ติดต่อฉินซีมานานมากแล้ว ทำไมเหรอคะ?มือถือของเธอโทรไม่ติดเหรอคะ? ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่กับเธอค่ะ”
ลู่เซิ่นรู้สึกราวกับว่าตอนที่ตัวเองเดินอยู่ที่บันไดแล้วขาสะดุด ด้ายเส้นที่แขวนหัวใจตัวเองไว้เหมือนถูกคำพูดของอานหยันตัดขาด ทำให้หัวใจเขากระแทกลงไปที่พื้นอย่างแรง
เขาพยายามทำให้เสียงของตัวเองฟังแล้วไม่สั่น แล้วคอนเฟิร์มอีกรอบหนึ่ง: “คุณไปทำงานที่ต่างประเทศหนึ่งสัปดาห์แล้ว?”
ดูเหมือนว่าจู่ๆอานหยันรู้สึกประหลาดใจกับเขาที่เริ่มเป็นห่วงงานของตัวเอง แต่ด้วยความที่เห็นแก่หน้าก็ยังได้ตอบ: “ก็ใช่สิคะ ฉันอยู่ที่ประเทศM ก่อนหน้านั้นที่ไม่ได้รับสายคุณก็เพราะหลับอยู่ไม่ได้ยิน ฉันมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้วค่ะ”
ทุกคำพูดของอานหยันลู่เซิ่นฟังเข้าใจหมด แต่พอรวบรวมคำพูดแล้ว กลับทำให้เขาเหม่อลอย
อานหยันไปทำงานที่ต่างประเทศหนึ่งสัปดาห์แล้ว
หนึ่งสัปดาห์แล้ว
งั้นเมื่อวานฉินซี……ไปไหน?
เธอบอกว่าจะไปหาอานหยัน คือเป็นข้ออ้าง หรือว่ามีเงื่อนงำซ่อนอยู่?
ลู่เซิ่นรู้สึกหัวใจของตัวเองมีคำถามเป็นพันคำพูด ทุกคำถามต่างก็ต้องการเจอตัวฉินซี ต่างก็ต้องการคำตอบจากปากของเธอ
ไม่งั้น เขาไม่สามารถสบายใจได้อย่างเด็ดขาด
เขายังไม่ได้วางสายลง อานหยันที่อยู่ในสายรอไปครึ่งค่อนวัน ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติอย่างลางๆ เธอเปิดปากถาม: “เป็นอะไรเหรอคะ? คุณติดต่อฉินซีไม่ได้เหรอคะ?”
ลู่เซิ่นย่อมไม่มีอารมณ์มาอธิบายอะไรกับเธออยู่แล้ว พูดพอเป็นพิธีไปคำหนึ่งก็ได้วางสายลงแล้ว
เขาอยู่เมืองหนานไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวแล้ว
เขาจะต้องกลับเมืองAเดี๋ยวนี้ หาฉินซีเจอและถามทุกอย่างให้ละเอียด
…………แต่ว่า ตอนนี้ฉินซีอยู่ไหน?