บทที่ 1163 ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
ฉินซีที่นอนอยู่บนโซฟาห้องนอน เหงื่อได้ไหลไปทั่วร่างกายแล้ว
เธอเหมือนกับจมลงไปในฝันร้าย
น้ำตาไหลตามหางตาอย่างไม่ขาดสาย และตกลงไปในเส้นผมของเธอ เพราะฉะนั้นเส้นผมข้างหูจึงเปียกไปหมดแล้ว
บนใบหน้าไม่มีแม้เลือดฝาด ปากก็เช่นเดียวกัน ขาวซีดไปทั้งคนเหมือนกับกระดาษสีขาวที่กระตุกอยู่ในลม
หน้าตาของเธอดูย่ำแย่และขาวซีดเกินไป แม้แต่คุณหมอก็อดสงสารไม่ได้ หันหน้ามองไปทางจ้านเซิน
แต่ว่าจ้านเซินกลับจ้องหน้าฉินซีอย่างนิ่งๆ และไม่พูดไม่จาสักคำ
คุณหมอรู้ดี เธอไม่มีท่าทียอมให้หยุดการสะกดจิต
เพราะฉะนั้นเขาได้แต่เอ่ยปากอย่างเสียงต่ำว่า:”จ้านเซิน หากว่าตอนนี้ไม่หยุด………..ฉันกลัวว่าเธอจะมีอาการผลข้างเคียง”
“ผลข้างเคียง?” จ้านเซินหันไปมองเขา
คุณหมอเม้มปาก:” ก็คือ………..บางคนได้รับการกระตุ้นที่มากเกินไป อาจจะเสียสติและสติไม่ปกติอย่างอาการเช่นนี้……..”
ก็คือว่า จู่ๆก็ให้ฉินซีได้รับความทรงจำที่ทรมานขนาดนี้ เธออาจจะบ้าได้
จ้านเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างเข้มขรึม
แต่ว่าผ่านไปสักพัก ก็ผายมือ
“ผมเชื่อใจเธอ ไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอก”
คุณหมอเห็นท่าที ได้แต่หันหลัง
แต่ว่าเขาก็รู้ดี หากว่าฉินซีเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคนแรกที่ย่ำแย่ก็คือตัวเอง
เพราะฉะนั้นเขาฉวยโอกาสตอนที่จ้านเซินไม่ทันได้สังเกต ผ่อนคลายกับการสะกดจิตของฉินซี
…………..
แต่ว่าขณะนี้ฉินซียังคงจมอยู่ในความทรงจำของตัวเองอย่างลึกๆ
ต่างจากการประสบความทรงจำของตัวเองในอายุสิบปีฉินซีในขณะนี้และฉินซีในตอนนี้เหมือนกันมาก เพราะฉะนั้นบางทีเธอคิดไม่ออกว่าตัวเองยังอยู่ในความทรงจำถึงขั้นมีอยู่หลายวินาที มีความรู้สึกผิดบางอย่างที่ตัวเองกลับไปในอดีต
อย่างเช่นตอนนี้ เธอแยกแยะไม่ออก ที่ขอร้องเหยาหมิ่น เป็นตัวเองในหนึ่งปีก่อน หรือว่าเป็นตัวเองในตอนนี้
เพราะว่าในเสียงของฉินซีมีการขอร้อง และยังมีเสียงร้องไห้
แต่ว่าเหยาหมิ่นกลับหัวเราะแบบนิ่งๆ
“ฉินซี” น้ำเสียงของเธอไม่ใจร้อนเท่ากับฉินซี ถึงขั้นเชื่องช้าด้วยซ้ำ เหมือนกับกำลังนึกย้อนเรื่องราวในอดีตกับเพื่อนเก่า “ตั้งแต่เด็กแม่ก็ร่างกายไม่แข็งแรง การตรวจร่างกายเมื่อก่อน พูดว่าแม่อาจจะมีลูกไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่งงานกับฉินซึ่งเทียนหนึ่งปีกว่า ถึงตั้งครรภ์ลูกอย่างยากลำบาก ตอนนั้นแม่เห็นลูกเป็นสุดที่รักที่สวรรค์ประทานให้กับแม่ สาบานในใจเงียบๆว่า ถ้าหากลูกสามารถเกิดออกมาอย่างแข็งแรง ไม่ว่ายังไงซะ แม่ก็จะต้องเลี้ยงดูลูกดีๆและให้ลูกได้เติบโต”
คำพูดของเธอทุกคำเหมือนกับเส้นด้ายบางๆ มัดหัวใจของฉินซีไว้แน่นหนา
เธอไม่รู้จะพูดอะไรดี
ดีนะขณะนี้เธอได้วิ่งลงไปใต้ตึกที่บ้านตัวเองแล้ว และยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์เรียบร้อย
เหยาหมิ่นทางโน้นยังนึกย้อนความทรงจำอยู่
“ถือโอกาสนี้สวรรค์เมตตาแม่ ให้ลูกกำเนิดมาในโลกใบนี้อย่างแข็งแรง หลายปีมานี้ แม่พยายามเป็นแม่ที่ดีคนนึง แต่ว่าคิดไม่ถึงมาถึงตอนนี้ กลับกลายเป็นภาระของลูกไปซะแล้ว”
ฉินซีรู้สึกแสบจมูก ทางนึงกดปุ่มลิฟต์แบบแรงๆ อีกทางก็ตอบกลับไปแบบกลั้นเสียงร้อง:” แม่คะ แม่อย่าคิดแบบนี้สิคะ แม่………”
“ฉินซี” เหยาหมิ่นกลับขัดคำพูดเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ต่อให้ลูกทนเห็นเรื่องที่ฉินซึ่งเทียนทำไม่ได้ และยังตัดขาดกับบ้านตระกูลฉินก็ตาม แต่ทว่าไม่ใช่เป็นเพราะแม่ ตอนนี้ลูกก็ไม่ต้องลำบากใจ ไม่ใช่หรือ? ”
ฉินซีถูกคำพูดคำเดียวของเธอทำให้จุกอก ชั่วขณะหนึ่งถึงกับไม่รู้ว่าจะโต้กลับยังไง
นี่เป็นความจริง
ต่อให้ฉินซีกับฉินซึ่งเทียนได้ทะเลาะกัน แค่เธอยังไม่ได้ตัดขาดกับบ้านตระกูลฉิน ก็ยังคงมีกองทุนทรัสต์ที่คุณปู่ซื้อให้กับเธอตั้งมากมายต่อไป และยังมีความชอบของตัวเองอีกด้วย ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะเหยาหมิ่น เธอก็ไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้หรอก
แต่ว่ามีแต่ฉินซีเองที่รู้ดี ต่อให้ต้องลำบากลำบนแค่ไหน ให้เธอเลือกอีกครั้งก็ตามที เธอก็ยังจะยืนอยู่ข้างๆเหยาหมิ่น
เพราะว่าบางสิ่งบางอย่าง เมื่อเทียบกับความเหนื่อยของร่างกาย สำคัญกว่าเยอะมาก
เพราะฉะนั้นเธอคิดอยู่หลายวินาที ถึงจะตอบกลับไปว่า:” แม่คะ สามารถอยู่ข้างๆคุณแม่ เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วค่ะ เงินๆทองๆสามารถหาภายหลัง ความยากลำบากก็ผ่านไปด้วยกันได้เช่นเดียวกัน แต่ว่าถ้าหากไม่มีแม่แล้ว ทุกอย่างก็จะไม่มีความหมาย”
เพียงแต่ว่าเหยาหมิ่นไม่ได้ถูกคำพูดเธอโน้มน้าว
เธอยังไม่ได้เอ่ยปาก” ติ๊ง”ครั้งนึง ลิฟต์มาถึงแล้ว
แม้แต่เวลารอลิฟต์ฉินซีก็รอไม่ไหวแล้ว ขณะที่ลิฟต์เปิดออกมาเป็นช่องเล็กๆนิดเดียวเธอก็เบียดเข้าไปทันที หลังจากกดปุ่มชั้นบนสุด และกดปุ่มปิดประตูเอาไว้แบบแรงๆ
ตึกของเธอกับเหยาหมิ่นตึกนี้ค่อนข้างเก่าแก่ ดาดฟ้าสามารถขึ้นไปจากชั้นสูงสุด ฉินซีไม่รู้ว่าทำไมถึงมั่นใจขนาดนี้ เหยาหมิ่นต้องอยู่บนดาดฟ้าแน่นอน
สัญญาณโทรศัพท์ในลิฟท์ไม่ดีนัก คำพูดของเหยาหมิ่นก็ติดๆขัดๆ ฉินซีต้องเสียแรงเยอะมาก ถึงจะได้ยินอย่างชัดเจนว่าเธอพูดว่าอะไร
“แต่ว่าแม่………ไม่อยากทำให้ลูกลำบาก……แม่รู้ดี……หากว่าแม่ตายไป…….ลูกต้องเกลียดฉินซึ่งเทียนมากขึ้น…….แต่ว่าฟังแม่……ไปเอาของที่คุณปู่ให้กับลูก…….กลับมา……..แม่ก็ทิ้งของให้ลูกเรียบร้อยแล้ว…… ลูกจะต้อง……อยู่สุขสบาย……”
ฉินซียิ่งฟัง ก็ยิ่งใจร้อน อดที่จะเอ่ยปากขัดคำพูดของเธอไม่ได้:” แม่คะ แม่…….ขอร้องเถอะ อย่าทำโง่ๆเลยคะ ได้โปรดเถอะแม่………”
ตึกที่เก่าแก่ลิฟต์ก็เชื่องช้าเหลือเกิน ฉินซีเกลียดนักอยากติดปีกบินขึ้นไปที่ชั้นบนสุด แต่ว่ากลับได้แต่ติดอยู่ในลิฟท์ที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ
แต่ว่าชัดเจนมากเหยาหมิ่นฟังคำพูดของเธอไม่เข้าหูแล้ว
“แม่ได้นับเวลาอย่างแม่นยำแล้ว……” เสียงที่ขาดๆหายๆของเหยาหมิ่นเข้ามาในหูของฉินซี “ตอนนี้ลูกน่าจะถึงสนามบินแล้วสินะ แต่ว่ายังไม่ทันขึ้นเครื่อง ใช่ไหม? พูดกับโรงนิตยสาร ยกเลิกไปเถอะ วันหลังไม่ต้องเหนื่อยกับเรื่องแบบนี้อีกแล้ว หากว่าลูกเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเพราะแม่ วิญญาณของแม่ก็หลับไม่เป็นสุข”
เธอแทบจะพูดอย่างกระจ่างแจ้ง เธอต้องการจะทำอะไรสักอย่าง ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองหายใจยากลำบากเหลือเกิน เหมือนกับถูกกดเข้าไปในน้ำ และดิ้นไม่หลุด
“แม่คะ” ฉินซีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกแล้ว ทำได้แค่เอ่ยปากอ้อนวอนเธออย่างซ้ำไปซ้ำมา” ขอร้องเถอะแม่…….ขอร้องหล่ะแม่……..”
อยู่ระหว่างความสิ้นหวัง ในที่สุดลิฟต์ก็ค่อยๆเปิดออกมาแล้ว
ฉินซีเหมือนกับคว้าความหวังสุดท้ายเอาไว้ วิ่งออกไปจากลิฟต์อย่างสุดกำลัง
จากชั้นบนสุดถึงดาดฟ้ายังมีบันไดที่ยาวเหยียด เธอแทบจะทั้งคลานและทั้งวิ่งขึ้นไปอย่างสุดกำลัง ขากระแทกกับบันไดแรงๆก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น
เธอทำได้แค่ภาวนาในใจอย่างเงียบๆ
แม่คะ…….ขอร้องเถอะค่ะ…….ขอร้องหล่ะ……..รอหนูหน่อยนะคะ……… รอหนูหน่อยน่ะ……..
เธอวิ่งขึ้นไปอย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้ว่ามือถือหายไปไหนแล้ว เพราะฉะนั้นจึงพลาดคำพูดสุดท้ายที่เหยาหมิ่นทิ้งเอาไว้
“ฉินซี อย่าเกลียดชังและอย่าแค้นเคืองเพราะแม่เลย ต้องรักโลกใบนี้ให้มากๆ”
เหยาหมิ่นพูดคำนี้จบปุ๊บ ก็วางสายไปเลย
ฉินซีใช้แรงทั้งหมดที่มีวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า——
ประตูที่ดาดฟ้าเหมือนขึ้นสนิม เธอเสียแรงไปเยอะมากถึงเปิดประตูออกมาอย่างยากลำบาก
แต่ว่าสุดท้ายเธอก็ยังสายไปหนึ่งก้าว
——ฉินซีมองเห็นร่างเงาของเหยาหมิ่นแบบต่อหน้าต่อตา กระโดดลงไป ตรงหน้าตัวเอง