บทที่ 1183 การเผชิญหน้ากับความจริงนั้นเจ็บปวดเกินไปแล้ว
จ้านเซินพยักหน้า ชายสวมชุดกาวน์ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในด้วย แต่ถอยออกไปจากห้องพักผู้ป่วยอย่างรู้ความ ดังนั้น ภายในห้องจึงเหลือฉินซีและจ้านเซิน เพียงแค่สองคน
จ้านเซินค่อยๆเดินไปยังข้างเตียงฉินซี ยืนมองเธอนิ่งอยู่ข้างเธอ พร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ทำไมคุณถึงได้ทรมานตัวเองจนมีสภาพแบบนี้กัน”
ฉินซีเขยิบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าปฏิเสธการเข้าใกล้ของเขา
คิ้วจ้านเซินขมวดเป็นปม
“คุณหลบอะไร” จ้านเซินยื่นมือข้างหนึ่งไปกดไหล่ฉินซีเอาไว้ “ไม่รู้จักผมแล้วหรือ”
ฉินซีถูกเขาควบคุมความเคลื่อนไหวเอาไว้ แต่สายตาที่มองไปทางเขา กลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“ฟางฟาง……..” ฉินซีเอ่ยปากพึมพำชื่อคนคนหนึ่งออกมา ทั้งสองคนก็ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง
สีหน้าของจ้านเซินแข็งค้าง แรงจากมือที่กดอยู่บนไหล่ของฉินซีก็คลายลง
ฉินซีอาศัยโอกาสนี้ถอยหลบหลังไป
เมื่อมือจ้านเซินว่างเปล่า จึงหันกลับไปมองฉินซีด้วยสีหน้าที่แข็งค้างขึ้นเรื่อยๆ “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าอะไรคุณก็ล้วนจำได้ชัดเจนใช่ไหม ไม่ใช่ว่าถูกกระทบกระเทือนรุนแรงจนสูญเสียความทรงจำ คุณก็แค่ไม่ยินยอมที่จะเผชิญหน้ากับความจริงเท่านั้นเอง ถึงได้แกล้งจินตนาการภาพหลอนออกมา”
ฉินซีกลับไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองเขาอย่างระแวดระวังต่อไป
“ฉินซี” จ้านเซินมองนาฬิกาข้อมือ คาดว่าอีกครู่หนึ่ง อานหยันก็จะกลับมาแล้ว ดังนั้นจึงยืดตัวตรงขึ้น เอ่ยเสียงเย็นชา “พวกเราจะรักษาคุณให้หาย รอจนคุณมีสติขึ้นมาแล้ว ก็จะรู้ว่าตัวเองน่าหัวเราะมากแค่ไหน”
เขาเอ่ยจบแล้วก็ตั้งใจจะหมุนตัวจากไป
ตอนที่เขาเดินไปถึงข้างประตู ฉินซีที่ปิดปากไม่พูดอะไร ก็เอ่ยขึ้นมากะทันหันว่า “การโศกเศร้าเพื่อญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปนั้น ไม่มีอะไรน่าหัวเราะแม้แต่นิดเดียว”
เธอพูดเน้นย้ำทีละคำ ดูไม่เหมือนกับว่าได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการป่วยทางจิตเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีสติเต็มเปี่ยม “คนที่ใช้การตายของญาติพี่น้องมาเป็นเครื่องมือ เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจต่างหากที่น่าหัวเราะจริงๆ”
“คุณ!” จ้านเซินคาดไม่ถึงว่าฉินซีจะกล้าพูดคำพูดประเภทนี้ออกมา จึงหันหน้ากลับมาขมึงตาใส่เธออย่างดุร้าย
ฉินซีกลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว เงยหน้าสบตาเขา
โทรศัพท์มือถือของจ้านเซินดังขึ้น นี่คือสัญญาณที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารายงานว่า อานหยันมาถึงลานจอดรถของโรงพยาบาลแล้ว
เขาไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เพียงแต่แค่นเสียงเย็นเสียงหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มว่า “รอจนคุณมีสติขึ้นมา คุณก็จะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังพูดอะไร คุณวางใจเถอะ พวกเราจะต้องใช้ทุกวิธีมารักษาคุณให้หาย”
เขาเอ่ยจบแล้วก็ผลักประตู เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป
ทิ้งฉินซีที่นั่งตัวแข็งทื่อ มองประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออก และปิดลงเอาไว้คนเดียว
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
ผู้ที่เข้ามาในคราวนี้คืออานหยัน
เธอลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กใบหนึ่ง ด้านในมีของใช้ในชีวิตประจำวัน และเสื้อผ้าที่ฉินซีจำเป็นต้องใช้
เมื่อเธอเดินเข้ามาก็เห็นสายตาตะลึงค้างของฉินซี
“เป็นอะไรไปหรือ” เธอเดินเข้ามาด้านใน พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
ฉินซีกระพริบตาปริบๆ ส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยตอบว่า “ไม่มีอะไร”
อานหยันยุ่งกับการจัดการสิ่งของให้เรียบร้อย จึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่ออีก
สายตาของฉินซีมองตามอานหยันไป
ที่จริงแล้วในใจของเธอรู้ดีมากว่า เหยาหมิ่นจากไปแล้วจริงๆ ไม่มีอะไรที่สามารถดึงรั้งเธอเอาไว้ได้
คนที่มีชีวิตอยู่นั้นกลายเป็นเถ้ากระดูก ถูกวางอยู่ในกล่องบรรจุเถ้ากระดูกที่วางอยู่ภายในบ้านอานหยันไปแล้ว
แต่ว่าสมองของเธอกลับไม่ยอมรับข่าวสารนี้ จึงจินตนาการว่ามีวิญญาณดวงหนึ่งอยู่ข้างกายตัวเอง
ดังนั้นตัวฉินซีเองก็แหลกสลาย
ครึ่งหนึ่งก็รู้ว่าตัวเองไม่ปกติ แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดปกติ
การเผชิญหน้ากับความจริงนั้นเจ็บปวดเกินไปแล้ว ดังนั้นก็ให้เธอหนีสักหน่อยเถอะ
สำหรับจ้านเซิน……
รอจนอานหยันเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากวางของเสร็จแล้ว ฉินซีก็เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “อานหยัน ฉันคิดว่าคุณหมอคนนี้ไม่ดี พวกเราเปลี่ยนเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งดีไหม”
อานหยันเบิกตาขึ้นเล็กน้อย “คุณหมอไม่ดีหรือ”
ฉินซีไม่สามารถบอกเรื่องที่คุณหมอคนนี้เป็นคนในองค์กรให้เธอรู้ได้ เพียงแต่พยักหน้าอย่างเงียบๆ “ฉันคิดว่าไม่ดี……..”
อานหยันเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอแล้ว ก็นึกว่าเธอไม่โอเคกับการรักษา จึงนั่งอยู่ข้างกายเธอ เอ่ยอย่างอดทนว่า “ไม่เป็นไรนะ เธอจะต้องดีขึ้นในไม่ช้า”
ฉินซีมองสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเธอแล้ว ก็หลุบตาลงช้าๆ
เธอรบกวนอานหยันมากแล้ว
เริ่มจากไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คนที่ไปสถานีตำรวจก็คือเธอ ช่วยตัวเองเผาเหยาหมิ่นก็คือเธอ ตอนนี้คนที่เหน็ดเหนื่อยกับการพาตัวเองมาที่โรงพยาบาลก็เป็นเธอเช่นกัน
ตอนนี้ตัวเองเอ่ยออกมาว่าต้องการย้ายโรงพยาบาล…..คาดว่าจะเป็นคำขอร้องที่เอาแต่ใจ ภายในสายตาของเธอ
ที่จริงแล้วตอนที่จ้านเซินเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย ฉินซีก็เข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว
เดิมเธอนึกว่า หลังจากที่ฟางฟางเสียชีวิตไปแล้ว มากน้อยอย่างไร จ้านเซินก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงบ้าง
วันนั้นตัวเองระเบิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด เดิมฉินซีนึกว่าจ้านเซินจะปล่อยตัวเองไปหลายวัน ให้โอกาสตัวเองได้พักหายใจ แต่จ้านเซินใช้ความเคลื่อนไหวมาบอกเธอว่า ไม่ใช่แบบนั้น
อิทธิพลขององค์กรแทรกซึมไปยังทุกซอกทุกมุม เธอยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด การเคลื่อนไหวทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กร
……ที่จริงแล้ว ถ้าหากว่าย้ายโรงพยาบาลจริงๆ ด้วยนิสัยของจ้านเซิน ครึ่งหนึ่งจะต้องหาวิธี เพื่อให้ตัวเองตกอยู่ในขอบเขตการควบคุมดูแลใหม่อีกครั้ง
ฉินซีทอดถอนใจ พยักหน้าตาม โดยไม่คัดค้านอะไรอีก
อานหยันนึกว่าเธอถูกปลอบประโลมเรียบร้อยแล้ว จึงลุกขึ้นไปเก็บของต่อ
ฉินซีมองเงาร่างที่ยุ่งวุ่นวายของเธอ พลางหลับตาลง
…….
รอจนทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็เป็นเวลาช่วงเย็น
ฉินซีที่ทานอาหารจานด่วนที่อานหยันสั่งมาเสร็จแล้ว ก็เอ่ยพูดว่า “เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะอยู่ที่นี่เอง”
อานหยันมองเธออย่างไม่เห็นด้วย “ตัวเองจะอยู่โรงพยาบาลคนเดียวได้อย่างไรกัน ฉันวางแผนเรียบร้อยแล้วว่าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเธอ”
ฉินซีส่ายหน้า “ที่นี่มีสถานที่ให้เธอพักผ่อนสบายๆที่ไหนกัน ฉันก็ไม่ได้ร่างกายมีปัญหา จะมีปัญหาเรื่องดูแลตัวเองไม่ได้ที่ไหนกัน ยังสามารถเดินได้ กระโดดได้ เธอไม่ต้องดูแลฉันหรอก”
อานหยันกลับไม่ได้พยักหน้า มองหน้าฉินซีด้วยความอยากพูดแต่พูดไม่ออก
ฉินซีรู้ว่า เธอเป็นกังวลว่าตัวเองจะทำเรื่องโง่ๆ
ดังนั้นจึงยิ้มบางๆให้กับอานหยัน “เธอวางใจได้ คุณแม่ยังคงมองดูฉันอยู่ข้างๆ ฉันไม่ทำเรื่องโง่ๆหรอก”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปมาอีกครู่หนึ่ง อานหยันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของฉินซีได้ จึงเอ่ยกำชับไปหลายประโยค หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้วก็จากไป
ภายในห้องพักผู้ป่วยนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงแค่ฉินซีคนเดียว
จู่ๆเธอก็เอ่ยพูดกับอากาศว่า “ไม่ต้องแอบแล้ว ออกมาเถอะ”
รอบด้านยังคงเงียบสนิท
ฉินซีไม่ได้เปิดไฟ ภายในห้องพักผู้ป่วยมืดมิด ทำให้ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดอยู่กับตัวเองมากกว่าเดิม
แต่สีหน้าของเธอแน่วแน่มาก ไม่ได้รู้สึกลนลานเพราะไม่ได้รับเสียงตอบรับ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ดังมาจากทิศทางของหน้าต่าง ถัดมา ไฟในห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดให้สว่างขึ้น
“คุณดีขึ้นแล้วหรือ”
คนที่พูดไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นจ้านเซิน
เขายืนตัวตรง พูดจาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ คล้ายกับว่าไม่รู้สึกว่า การที่ตัวเองหลบอยู่นอกบานหน้าต่างห้องพักผู้ป่วยของฉินซี เพื่อแอบฟัง เป็นเรื่องน่าไม่อายอะไร
แต่เป็นเรื่องที่เขาสมควรทำ