บทที่ 1192 เป็นเพียงแค่ข้อตกลงอย่างหนึ่งเท่านั้น
เพียงแต่ว่า สุดท้ายแล้วสติสัมปชัญญะของจ้านเซินก็ยับยั้งการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้
เขาอดทนข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเอง อ่านอีเมลตั้งแต่ต้นจนจบเรียบร้อยแล้ว ใจถึงได้สงบลงบ้าง
ที่แท้การแต่งงานของฉินซี……..ก็เป็นเพียงแค่ข้อตกลงอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
เป็นข้อตกลงในการนำมรดกที่ได้รับสืบทอดกลับคืนมา
เมื่อคิดได้แบบนี้ ความรู้สึกหุนหันพลันแล่นของจ้านเซินก็จางหายไปไม่น้อย
ที่จริงแล้วองค์กรก็ไม่ได้ปฏิเสธการแต่งงานทั้งหมด
เพราะการแต่งงานในบางครั้ง สามารถใช้เป็นเบี้ยในการต่อรองที่มีประโยชน์มากอย่างหนึ่ง
และในเวลานี้ องค์กรก็จะไม่ดึงดันที่จะปฏิเสธการแต่งงาน
สิ่งที่องค์กรต่อต้าน ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้คนส่วนใหญ่ในใต้หล้า นั่นก็คือการแต่งงานเพราะความรัก เป็นการแต่งงานที่ไม่นำพามาซึ่งกำไรและผลประโยชน์อันใด
พูดความจริงแล้ว สิ่งที่องค์กรคัดค้าน ก็คือความรักเท่านั้น
ดังนั้นการแต่งงานในครั้งนี้ของฉินซี ไม่ได้ถูกองค์กรขัดขวาง สุดท้ายแล้วจ้านเซินก็ไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่ง
แต่เขาสามารถรู้สึกได้ว่า ความอดทนของตัวเองคืบคลานเข้าใกล้ขีดสุดอย่างช้าๆ
ตอนนี้อาการของฉินซีเปลี่ยนไปในทางที่ดีไม่น้อย
นี่ก็หมายความว่า ช่วงเวลาที่ฉินซีสามารถกลับมาที่องค์กรได้นั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว
“คุณมั่นใจว่าอาการของฉันดีขึ้นแล้วในตอนไหนกัน” ฉินซีมองจ้านเซิน เอ่ยถามขึ้นมากะทันหัน
จ้านเซินตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ตอนที่คุณเห็นการตายของโจรลักพาตัว แต่ไม่ได้มีอาการพังทลายใดๆ”
ฉินซีหลับตาลง คำตอบนี้ตรงกับการคาดเดาของเธอ
“คนข้างกายของคุณล้วนคิดว่าอาการของคุณนั้นน่ากลัวมาก” จ้านเซินเอ่ยออกมา น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นแฝงไปด้วยความดูถูกที่บรรยายออกมาไม่ได้ “แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นท่าทางที่พังทลายอย่างที่สุดของคุณ ถึงได้รู้สึกแบบนั้น”
ฉินซีรู้ว่า “คนข้างกาย” ที่เขาพูดถึงนั้น ไม่ได้เอ่ยถึงคนอื่น แต่เป็นลู่เซิ่น
“ถ้าหากให้เทียบกับอาการของคุณในก่อนหน้านี้ ปฏิกิริยาของคุณในตอนนั้น ก็เกือบจะสามารถพูดได้ว่า……ดีขึ้นเป็นปกติแล้ว” จ้านเซินเอ่ยต่อ
ฉินซีไม่ได้พูดอะไร
เธอรู้ว่าจ้านเซินพูดไม่ผิดเลย
เมื่อเทียบกับตอนที่สูญเสียเหยาหมิ่นและฟางฟางไป ปัญหาทางจิตใจที่ปรากฏขึ้นตอนที่ตัวเองพบเจอกับอุบัติเหตุ ก็เป็นเพียงแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นเอง
แต่สำหรับฉินซีแล้ว ความทุกข์ทรมานนั้นล้วนเป็นความจริง
ความเจ็บปวดรวดร้าวใจ ทางการรักษาสามารถแบ่งแยกลึกตื้นได้ แต่สำหรับตัวฉินซีเองแล้ว จะมีระดับความแตกต่างอะไร
ล้วนเป็นความทุกข์ทรมาน
“ดังนั้นคุณจึงตัดสินใจพาฉันกลับมาหรือ” ฉินซีสงบสติอารมณ์ของตัวเองชั่วครู่ พร้อมกับเอ่ยถามต่อ
จ้านเซินกลับไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่มองไปที่ฉินซี เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ใช่ว่าสิ่งที่คุณต้องการทำทั้งหมดล้วนสำเร็จเรียบร้อยหมดแล้วหรือ การล้มละลายของตระกูลฉิน ชื่อเสียงที่ไม่ดีของเหยาหมิ่นล้วนถูกล้างสะอาดหมดแล้ว สภาพจิตใจของคุณก็มั่นคงแล้วเช่นกัน ถัดมาสิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ แสวงหาเป้าหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่หรือ”
ฉินซีหรี่ตาลง มองไปที่จ้านเซิน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนั้นในใจเธอเต็มไปด้วยความยินดีที่นึกว่าตัวเองจะนำมาซึ่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเอง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า……จะเป็นการนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนชีวิตที่พลิกกลับ 180 องศา
“ชีวิตของคุณเป็นขององค์กรไปแล้ว” คล้ายกับว่าจ้านเซินมองออกถึงความคิดของเธอ เอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด “ถ้าหากว่าคุณสามารถเริ่มการเดินทางบทใหม่ได้ นั่นก็หมายความว่า คุณมีความสามารถที่พร้อมจะกลับไปยังองค์กรใหม่อีกครั้งแล้ว”
ฉินซีมองเขาอย่างคลุมเครือ หลังจากผ่านไปนานถึงได้เอ่ยพูดว่า
“จ้านเซิน คุณเคยบ้างหรือไม่ว่า หากฉันกลับไปยังองค์กรแล้ว ก็ยังคงจะไป ทั้งๆที่รู้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไร”
สีหน้าจ้านเซินปรากฏความไม่เข้าใจขึ้นมา
“ไปหรือ” ความสงสัยในน้ำเสียงไม่ใช่สิ่งที่แสร้งทำขึ้นมา “ทำไมถึงมีคนยินยอมทำให้ตัวเองเป็นคนพิการ แต่ก็ต้องการจะจากไปกัน”
ฉินซีมองเขา รู้สึกสูญเสียความต้องการที่จะอธิบายไปกะทันหัน
เธอเพียงแค่ตอบเรียบๆว่า “คุณยังจำได้ไหมว่า คุณพูดอะไรกับฉันที่อยู่ในสภาวะถูกสะกดจิต”
จ้านเซินไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเอ่ยถามคำถามนี้ขึ้นมากะทันหัน จึงมองไปที่เธอ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอบกลับว่า “ผมพูดว่า คุณเป็นอิสระแล้ว”
ฉินซียิ้มเรียบๆ รอยยิ้มแฝงไปด้วยความขมขื่นที่บรรยายออกมาไม่ได้ “คุณสามารถพูดคำว่าอิสระออกมาได้ ทว่ากลับไม่รู้เลยว่าอะไรที่เรียกว่าอิสระที่แท้จริง”
สีหน้าของจ้านเซินเย็นชาเล็กน้อย คิดจะอ้าปากพูด ทว่ากลับถูกฉินซีโบกมือหยุดเอาไว้
“จ้านเซิน ฉันเหนื่อยแล้ว” เธอหลุบตาลง ท่าทางง่วงเล็กน้อย “ฉันอยากจะพักผ่อนแล้ว”
ปากที่กำลังจะอ้าพูดของจ้านเซินก็หุบฉับลง
เขามองออกว่าฉินซีอ่อนเพลียแล้วจริงๆ แต่ก็รู้เช่นกันว่า เธอเอ่ยพูดออกมาเป็นพิเศษ เพียงเพราะใช้เป็นข้ออ้างในการไล่ตัวเองไป
อย่างน้อยจ้านเซินก็ถูกไล่แขกอย่างชัดเจน ชั่วขณะที่ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้หาข้ออ้างมาฝืนอยู่ต่อ เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบตึง และจากไป
ฉินซีมองประตูห้องที่ปิดตามหลังเขาไป ก็ยกมือขึ้นมานวดขมับของตัวเอง
เพราะการสะกดจิตทำให้เสื้อผ้าชื้นเหงื่อ หลังจากที่พูดคุยกับจ้านเซินอยู่ชั่วครู่ ก็เย็นขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ฉินซีรู้สึกหนาวขึ้นมา
เธอเหนื่อยมากแล้วจริงๆ
แม้ว่าตัวยาที่จ้านเซินใช้ควบคุมประสาทกับเธอจะไม่มีผลกระทบในภายหลัง แต่หลังจากที่มีสติขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จ้านเซินที่ สะกดจิตฝืนบังคับให้เธอคิดเรื่องราวทั้งหมดให้ออกในตอนที่เธอเพิ่งจะตื่นขึ้นมา โดยไม่สนใจอะไร
ฉินซีรู้สึกว่ากระดูกทุกท่อนล้วนร่ำร้องว่าอ่อนล้า
แต่รอจนเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ขึ้นนอนบนเตียงแล้ว กลับไม่มีความรู้สึกง่วงเลย
เหนื่อยเกินไปจนกระทั่งนอนไม่หลับ
ถือว่าเธอได้สัมผัสประสบการณ์นี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น…….เธอยังมีเรื่องในใจด้วย
ลู่เซิ่น
สองคำนี้เหมือนกับมีดที่แหลมคมด้ามหนึ่ง ทุกครั้งที่คิดถึงก็จะทิ่มแทงเข้ามาที่หัวใจครั้งหนึ่ง เมื่อดึงออกมาแล้วก็มีเลือดและเนื้อติดมาด้วย
ฉินซีรู้ว่าจิตใต้สำนึกของตัวเองยังอยากจะเชื่อลู่เซิ่น ยังคงอดไม่ได้ที่จะหาข้ออ้างให้เขา พูดว่าทั้งหมดนี้จะต้องมีสาเหตุที่ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ เขาจึงต้องทำแบบนี้
แต่หลักฐานที่อยู่เบื้องหน้าบีบบังคับให้เธอเชื่ออย่างมีสติ
การเหนี่ยวรั้งแบบนี้ภายในจิตใจ ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความทรงจำที่ถูกฝืนใส่เข้ามาในสมองมากนัก
แม้ว่าเรื่องราวในอดีตทั้งหมดจะเจ็บปวด แต่สำหรับฉินซีในตอนนี้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหวนรำลึกได้แล้ว
เธอตอบแทนความทรมานที่เหยาหมิ่นมีทั้งหมดให้กับฉินซึ่งเทียนแล้ว
สำหรับฟางฟาง
ฉินซีมองไปรอบๆครั้งหนึ่ง
ความเสียใจสุดท้ายที่ฟางฟางกำชับกับเธอนั้น เธอยังทำไม่สำเร็จ
เธอไม่ได้รับอิสระ และยังคงถูกจองจำอยู่ในสถานที่แห่งนี้
แต่ฉินซีไม่เชื่อเรื่องบาป
ขอเพียงแค่มีหนทางที่จะจากไป เธอก็จะไป
ถ้าหากว่าจิตใจของคนคนหนึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว อย่างนั้นจองจำร่างกายของเธอไว้ที่นี่ จะมีประโยชน์อะไรกัน
ดังนั้น…….อ้อมไปอ้อมมา ด่านที่ฉินซียากจะข้ามผ่านในใจได้ก็ยังคงเป็นลู่เซิ่น
เธอรู้ว่าตัวเองหายตัวไปกะทันหันมาก
แม้ว่าเดิมทีเธอก็ตั้งใจจะไป แต่เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะจากไปเงียบๆแบบนี้
แม้ว่าจะไม่สามารถบอกลากันดีๆได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องถามให้ชัดเจนทั้งหมด
การจากไปโดยไม่เข้าใจอะไรแบบนี้……
ตอนนี้ลู่เซิ่นกำลังทำอะไรอยู่นะ
เขาจะคิดหาวิธีหาเธอไหม
หรือว่าโอบกอดคนรักใหม่ของเขา และลืมการคงอยู่ของเธอไปจนหมดสิ้น