บทที่ 1194 การลงโทษอันเข้มงวด
“ยินดีกับคุณด้วย!” เสียงของจ้านเซินดังกว่าปกติมาก “หลังจากนี้ คุณก็คือพนักงานขององค์กรอย่างเป็นทางการคนหนึ่งแล้ว”
สุดท้ายแล้วความปีติยินดีของเขาก็ส่งผลต่อฉินซี ทำให้ในใจของเธอปลาบปลื้มใจขึ้นมาเล็กน้อย
เธอเม้มริมฝีปาก ยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “ขอบคุณคุณมาก”
สุดท้ายแล้วจ้านเซินก็ยังมีความพะว้าพะวังอยู่ จึงไม่ได้เข้ามาในห้องของเธอ ทั้งสองคนสนทนากันอยู่หน้าประตูไม่กี่ประโยค เขาก็มีธุระต้องจากไป
ก่อนที่จะจากไปนั้น จู่ๆเขาก็หลุบตาลงมองฉินซี เอ่ยเสียงเบาว่า “ผม……สามารถกอดคุณได้หรือไม่”
ส่วนสูงของทั้งสองคนนั้นห่างกันไม่น้อย ยืนก็ใกล้กันมาก ดังนั้นฉินซีจึงต้องเงยหน้ามองจ้านเซิน
สายตาของเธอไหววูบชั่วครู่ ก็เห็นใบหูแดงระเรื่อของจ้านเซินพอดี
ที่แท้จ้านเซินก็อายเป็นเช่นกัน
กวางน้อยที่อยู่ในใจของฉินซีกระโดดโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่ง
เธอไม่กล้าเหลือบตาขึ้นมองจ้านเซินอีก เพียงแค่หลุบตาลง พยักหน้าเล็กน้อย
จ้านเซินก็ไม่ได้รอช้า ย่อตัวลงมา ยกมือโอบกอดฉินซีเอาไว้เบาๆ
“ยินดีกับคุณด้วย”
ที่จริงแล้ว เขาเพิ่งจะผ่านวัยแตกหนุ่มมา เสียงจึงแหบอยู่บ้าง ตอนที่เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างใบหูนั้น ฉินซีก็รู้สึกได้ว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายล้วนแดงขึ้นมา
ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา อยู่นานไม่ได้ ดังนั้นจ้านเซินจึงกอดเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เขามองดูแล้วรู้สึกอายเล็กน้อย เอ่ยลาก่อนประโยคหนึ่งเสียงเบา และจากไปอย่างรีบร้อน
ส่วนฉินซีก็รู้สึกว่าแก้มตัวเองแดงเห่อแล้ว
เธอยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ถึงได้ก้าวเท้าเดินกลับไปยังห้องเหมือนกับหุ่นยนต์
ในหลายปีมานี้ นี่เป็นจ้านเซินที่เหมือนกับคนคนหนึ่ง และไม่ใช่หุ่นยนต์มากที่สุด ที่ฉินซีเคยพบ
ตอนนั้นเขาไม่ได้ถูกบ่มเพาะให้กลายเป็นคนที่เลือดเย็นไร้ความรู้สึกอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงยังเหมือนกับเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นคนหนึ่ง หน้าแดงเป็น อายเป็น
แต่การงมงายในความรักของหนุ่มสาว ก็เหมือนกับต้นกล้าที่อ่อนแอต้นหนึ่ง
ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรากฏขึ้น ภายในองค์กรที่โหดร้ายไร้ความรู้สึก
ฉินซีก็ทราบในภายหลังเช่นกันว่า ตอนที่เธอกับจ้านเซินกอดกันนั้น ถูกกล้องวงจรปิดบริเวณริมระเบียงทางเดินบันทึกเอาไว้หมดแล้ว
เธอเพิ่งจะเข้ามาในองค์กร ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมเต็มรูปแบบ ดังนั้นจึงไม่มีใครสอบสวนให้เธอแสดงความรับผิดชอบ
แต่จ้านเซินกลับถูกลงโทษอย่างเข้มงวดเพราะอ้อมกอดนี้
แม้ว่าทุกคนล้วนทราบว่าเขาถูกบ่มเพาะให้เป็นผู้สืบทอด แต่บิดาของจ้านเซินกลับยืนกรานในความคิดที่ว่า ยิ่งมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่มากเท่าไร ก็ต้องเข้มงวดมากเท่านั้น จึงไม่ได้เมตตาต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาถูกโยนเข้าไปในเขตภูเขาที่ห่างไกล ได้รับภารกิจที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายหนึ่ง และยังได้รับบาดเจ็บหนักมาด้วย
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไม หลังจากที่ฉินซีเข้ามาในองค์กรแล้ว ถึงไม่ได้พบกับจ้านเซินเลยสักครั้งหนึ่งสองปีเต็ม
แรกเริ่มนั้นเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง ถึงอย่างไรเธอก็เกือบจะอยู่ด้วยกันกับจ้านเซินตลอดทุกอาทิตย์เป็นเวลานาน คราวนี้จู่ๆก็ไม่เห็นคนแล้ว แม้ว่าจ้านเซินจะเป็นเพียงแค่เพื่อนที่เป็นคู่หูธรรมดา แต่ก็ทำให้คนรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่ดี
เดิมเธอคิดว่า หลังจากเข้ามาในองค์กรแล้ว การพบหน้ากับจ้านเซินจะเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้น้อยลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินซีก็ยังมีความรู้สึกที่สับสนต่อเขาอยู่บ้าง
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ลองสืบ แต่ภายในองค์กร ภารกิจของผู้อื่นล้วนเป็นความลับ เกือบจะไม่มีคนรู้ได้ ดังนั้นฉินซีลองสืบดูไปหลายครั้ง ก็ไม่ได้ความอะไร
หลังจากที่ผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการแล้ว เธอก็ไม่ได้เป็น “ผู้ช่วยในห้องทดลอง” แล้ว อาทิตย์หนึ่งได้พบหน้ากับฟางฟางไม่กี่ครั้งเช่นกัน
ผู้คนที่คุ้นเคยกันตอนแรกล้วนไม่ได้พบแล้วอย่างกะทันหัน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ฉินซีจะรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง
ดังนั้นในตอนแรกเริ่ม ฉินซีชอบที่จะไปเฝ้าฟางฟางหน้าประตูห้องทดลองของเธอ
แต่เมื่อทำไปสองสามครั้ง เธอกลับถูกฟางฟางลอบเตือนอย่างเงียบๆ
“ฉินซี” ตอนที่ฉินซียืนรอจนได้พบกับฟางฟางอีกครั้ง เธอก้มหน้าลง เอ่ยกับฉินซีด้วยเสียงที่มีเพียงแค่พวกเธอสองคนสามารถได้ยินเท่านั้น “แม้ว่าเธอจะเลิกเรียนแล้ว แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอ ยังคงอยู่ภายใต้การสอดแนมของอาจารย์เธอ”
แผ่นหลังของฉินซีขนลุกขึ้นมาชั้นหนึ่ง
เธอฉลาดมาก ฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดได้ในทันที
ถ้าหากว่าเธอแสดงความรู้สึกที่มีต่อฟางฟางหรือจ้านเซินต่อไปออกมาแบบนี้ อย่างนั้นอาจารย์ที่สอนหนังสือเธอ จะปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทีที่เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม หรือไม่ก็ใช้บทเรียนที่เข้มงวดมาเป็นเงื่อนไขในการทรมานเธอ จนกระทั่งเธอทำลายความรู้สึกที่ควรจะมีทิ้งไปทั้งหมด
นับตั้งแต่วันนั้น เธอก็ไม่ได้ไปสอบถามข่าวสารของจ้านเซินอีก และไม่ไปรอฟางฟางด้วย
โชคดีที่ฉินซีมีภารกิจการเรียนที่หนักมาก ในไม่ช้า เธอก็ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ไม่มีคนทั้งสองคนนี้อยู่เป็นเพื่อนได้
จนกระทั่งตอนที่เธออายุ 15 ปี ในที่สุดก็ได้พบกับจ้านเซินภายในองค์กรอีกครั้ง
จ้านเซินเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ตอนที่สายตาของฉินซีกวาดตามองเห็นเขานั้น หัวใจก็เต้นรุนแรงมาก
แต่เธอรู้ว่าชีวิตของเธอถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่กล้าแสดงความคิดของตัวเองออกมามากเกินไปแม้แต่นิดเดียว จึงทำได้เพียงแค่เหลือบมองจ้านเซินมากขึ้นอีกครั้ง เพื่อเป็นหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น
แต่ว่าสัญชาตญาณของเพศหญิงนั้นฉับไวแต่กำเนิด
เธอสามารถรู้สึกได้ว่า จ้านเซินเปลี่ยนไปแล้ว
สีหน้าไม่แยแสและสายตาที่เย็นชา ไม่ใช่สิ่งที่แสร้งทำขึ้นมา
ตอนที่เขามองผ่านใบหน้าของตัวเอง แล้วไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวใดๆ ฉินซีก็รู้แล้วว่า มีอะไรเปลี่ยนไป
เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่รู้ว่า เมื่อผ่านบททดสอบระหว่างความเป็นความตาย ความรู้สึกรักในใจของจ้านเซินนั้น เกือบจะถูกลบล้างไปหมดแล้ว อีกทั้งบทเรียนทั้งหมดที่เขาได้รับนั้น ก็เพิ่มความรวดเร็วที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่มีความแม่นยำและใช้งานง่ายอย่างหนึ่ง
เธอรู้เพียงแค่ว่า จ้านเซินที่กอดเธอครู่เดียวก็หน้าแดงคนนั้น อาจจะไม่เห็นแล้ว
อายุ 15 ปี เป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของหนุ่มสาว เมื่อถูกโจมตีแสกหน้าแบบนี้ ฉินซีก็ยังต้องแอบเสียใจเงียบๆอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
เพียงแต่ชีวิตของเธอถูกจัดการจนแน่นขนัด ทั้งยังมีดวงตามากมายหลายคู่จับจ้องเธออยู่ เธอจึงไม่มีสมาธิจะไปเสียใจกับการเต้นโครมครามของหัวใจตัวเองเท่าไร
ส่วนจ้านเซินก็แทบจะไม่ได้ปรากฏตัวในองค์กร จึงลดความเป็นไปได้ที่เธอจะพบกับเรื่องสะเทือนใจได้มาก
ผ่านวันเวลาแบบนี้ไป 3 ปี จนเธอจบบทเรียนทั้งหมดในอายุ 18 ปี ตอนที่กลายเป็นสมาชิกในองค์กรอย่างเป็นทางการ ที่จริงแล้ว ความหวั่นไหวทางใจที่ฉินซีมีต่อจ้านเซินนั้นก็ถูกลืมเลือนไปพอสมควรแล้ว
แต่ก็เป็นตอนนี้เช่นกัน ที่เธอได้รับภารกิจอย่างเป็นทางการของตัวเองในครั้งแรก
รายละเอียดของภารกิจ เธอจำเป็นต้องติดต่อกับผู้บังคับบัญชา ดังนั้นเธอจึงเคาะประตูห้องทำงานของผู้บังคับบัญชาตามเวลาที่กำหนดเอาไว้
คนที่เคยฝึกอบรมเธอก่อนหน้านี้ ผู้บังคับบัญชาสายตรงของเธอคือคนของหน่วยข่าวกรอง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะคิดว่า คนที่ตัวเองจะได้พบ น่าจะเป็นคนของหน่วยข่าวกรอง
……..เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีความเข้มงวดเป็นอย่างมากคนนั้น หรือว่าจะเป็นผู้เฒ่าคนนั้นกัน
ตอนที่ในใจของเธอกำลังคิดล่องลอยไปไกล ด้านในก็มีเสียงลอยออกมาเสียงหนึ่ง “เข้ามา”
เสียงนั้นทุ้มต่ำเล็กน้อย และคุ้นหูอยู่บ้าง
แต่ฉินซีก็ผลักประตูเข้าไป โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน เธอก็ตะลึงค้างไป