บทที่ 1205 ไม่ใช่เพื่อที่จะให้ฉันหาเจอ
ลู่โยวโยวรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากคำพูดของลู่เซิ่น แต่ก็คิดตามไม่ทัน ทันใดโทรศัพท์ของลู่เซิ่นก็ส่งเสียงร้องออกมา
“ประธานลู่ครับ” เป็นหลินหยังที่โทรเข้ามา “ผมนำผ้าเช็ดหน้ามาแล้วครับ วันนี้ตอนบ่ายเมื่อประชุมเสร็จสิ้น ผมได้ติดต่อถังย่าไปแล้ว เธอบอกว่าสามารถเจอกับคุณได้ครับ”
ลู่เซิ่นตอบรับ พลางหันไปพยักหน้าลาลู่โยวโยว ก่อนจะออกจากบ้านตระกูลลู่ไป
ลู่โยวโยวมองพี่ชายจนลับสายตา พลันสีหน้าโศกเศร้าที่ไม่เห็นปรากฏบนใบหน้าของเธอกลับฉายชัดขึ้นมา
… …
หลินหยังออกมารอต้อนรับลู่เซิ่นที่พึ่งกลับมาถึงบ้านใหญ่ตระกูลลู่
“ประธานลู่ครับ” เขาเอาถุงปิดผนึกขึ้นมา “ผ้าเช็ดหน้าอยู่ด้านไหน”
ลู่เซิ่นยื่นมือไปรับ ก่อนจะเปิดปากพูด “นัดกับถังย่าไว้เมื่อไหร่?”
หลินหยังตอบกลับไปทันทีแบบไม่ต้องคิด “เวลาหนึ่งทุ่มตรงที่บริษัทครับ”
ลู่เซิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ส่ายหัวก่อนพูด “นายไปจองร้านอาหารที่บรรยากาศมันดูผ่อนคลายหน่อย ฉันจะนัดเธอไปดินเนอร์”
หลินหยังมองเขาด้วยความประหลาดใจ แต่พยักหน้าตอบรับ
หลังจากนั้นไม่นาน หลินหยังก็ผลักประตูเข้ามา และรายงานว่าได้จองร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว
ลู่เซิ่นพยักหน้า
หากพบกันในห้องประชุมอาจเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยสำหรับเขาและเธอ ดังนั้นพวกเขาจะเข้าสู่สถานะของการเจรจาในไม่ช้า
แต่สิ่งที่ลู่เซิ่นต้องการทำในวันนี้ไม่ใช่การเจรจา แต่เพื่อหาข้อมูลจากถังย่ามาให้ได้มากที่สุด
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกร้านอาหาร พยายามให้ถังย่าผ่อนคลายความระมัดระวังลง
แต่เมื่อเขามาถึงร้านอาหาร เขาก็ได้รู้ว่าวิธีนี้ดูเหมือนไม่มีประโยชน์สำหรับถังย่า
ลู่เซิ่นมาถึงเร็วกว่าเวลาที่นัด แต่เมื่อเขาลงจากรถ ถังย่าก็รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“คุณลู่” เธอยิ้มด้วยอย่างสุภาพกว่าปกติ “ฉันคิดอยากจะจองร้านอาหารนี้มานาน แต่ไม่มีโอกาส”
ลู่เซิ่นทำธุรกิจมาหลายปี เมื่อเห็นท่าทีของถังย่าก็รู้ทันที ว่าเธออยู่ในสภาพที่ระมัดระวังตัวมาก
แต่เขาไม่สามารถกลับไปมือเปล่าจากการพบกันครั้งนี้ได้ เขายิ้มก่อนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเข้าไปกันก่อนครับ คุยไปทานไปดีกว่า”
หลินหยังเลือกร้านอาหารตะวันตก มีนักไวโอลินเล่นอยู่ที่ล็อบบี้ ดนตรีไพเราะและบรรยากาศก็ผ่อนคลาย ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อนๆ พนักงานเสิร์ฟเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลและใช้น้ำเสียงโทนต่ำในการพูดคุยซึ่งสร้างบรรยากาศที่ดูไม่รีบร้อน
แต่ถึงแม้ว่าลู่เซิ่นและถังย่าจะตัดฟัวกราส์ด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่หลังของพวกเขาก็ยืดตรงราวกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะไปสนามรบอยู่เสมอ
ในตอนท้ายของมื้ออาหาร พวกเขาทั้งสองคนกำลังพูดอ้อมเรื่องอื่นไปเรื่อยไม่ยอมเข้าประเด็นสักที พวกเขารู้ดีว่าวันนี้อีกฝ่ายมาเพื่อทำอะไร แต่ไม่มีใครริเริ่มที่จะพูดถึงมันก่อน
บริกรนำขนมมาให้ แต่ถังย่าโบกมือ “ฉันไม่ต้องการของหวานแล้วค่ะ”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วถาม “ขนมร้านนี้มีชื่อเสียงมากนะ คุณไม่ลองชิมสักนิดเหรอ?”
ถังย่ายิ้ม “ฉันไม่ทานอาหารเย็นเพราะคุมน้ำหนักมานานแล้วค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณลู่ ฉันก็คงไม่มา”
ลู่เซิ่นยิ้มจางๆ “พอดีเลย ผมก็ไม่ชอบของหวานเหมือนกันครับ”
หลังจากพูดจบเขาก็วางมีดและส้อมในมือลง
แต่มือที่จะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบทิปให้พนักงาน พอดีกับหยิบถุงปิดผนึกขึ้นมาด้วย
แน่นอนว่าในกระเป๋าจะไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากจะเป็นผ้าเช็ดหน้าที่หลินหยังนำมาให้
ลู่เซิ่นวางกระเป๋าไว้ที่ข้างโต๊ะอย่างลวกๆ วางทิปไว้ข้างจาน เมื่อทำท่าจะลุก เขาก็มองไปที่ถังย่า
สายตาของถังย่าจับจ้องไปที่ผ้าเช็ดหน้าจริงๆ
“คุณถัง”เขาเรียกเสียงดัง “ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
ถังย่าไม่สามารถเก็บมันได้อีก จึงถามขึ้น “ประธานลู่ใช้ความพยายามในการเชิญฉันออกมาทานอาหารมื้อใหญ่แบบนี้ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหมคะ… …คุณมีอะไรจะถามฉันไหม? ”
ลู่เซิ่นยิ้มจางๆ นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง มองตรงไปยังถังย่า “ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ล่ะครับ?”
ถังย่าเหมือนจะไม่พูดอ้อมค้อมกับเขาอีกต่อไป พยักพเยิดไปทางสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ
ลู่เซิ่นไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น เขายังคงวางแผนบางอย่างที่จะฟังคำพูดบางอย่างจากถังย่าเขาจึงทำแค่หัวเราะ
“ก็แค่ผ้าเช็ดหน้า ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของถังย่าจางลงอย่างช้าๆ “ประธานลู่ ฉันจะพูดตรงๆ บนผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ มีสัญลักษณ์ขององค์กรพวกเรา ฉันรู้ มันไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าธรรมดา”
ลู่เซิ่นไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะพูดคำว่า องค์กร ออกมาโดยตรงและก็ไม่คาดหวังว่าเธอจะยอมรับมันง่ายๆเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเขาค่อยๆจางหายไป
เขากระแอมในลำคอและพูดว่า “ดูเหมือนคุณจะรู้ว่าผมมาทำไม”
เธอพยักหน้า “ใช่”
ในเมื่อเธอพูดออกมาขนาดนี้แล้ว ลู่เซิ่นจึงไม่พูดอ้อมค้อมอีกต่อไป ออกปากถามไปตรงๆ “ฉินซีอยู่กับคุณหรือเปล่า?”
ถังย่าส่ายหัวก่อนแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่แทนที่จะตอบคำถามของลู่เซิ่นโดยตรงเธอกลับถามเขากลับ “ฉันบอกว่าฉันเป็นคนในองค์กร คุณจะไม่ตกใจหน่อยเหรอ หรือรู้อยู่ก่อนแล้วว่าองค์กรของพวกเรามีจริง”
ลู่เซิ่นเห็นว่าถังย่าคงไม่ตอบคำถามของเขาอย่างตรงไปตรงมาแน่ เขาพยักหน้า ก่อนยื่นมือไปหยิบถุงที่ปิดผนึกแล้วถามต่อ “จงใจทิ้งสิ่งนี้ไว้ ไม่ใช่ให้ผมค้นหาหรือไง?”
ถังย่าชะงัก รอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าเลือนหาย ราวกับคิดว่าคำถามของลู่เซิ่นมันน่าสนใจอย่างไรอย่างนั้น “แน่นอนประธานลู่ คุณเดาถูก”
ลู่เซิ่นยิ้มอย่างเย็นชา
เมื่อฉินซีหายไปนานขึ้นเท่าไหร่ เขาก็สงบมากยิ่งขึ้น
เมื่อใจเย็นลง ก็จะพบกับปัญหามากมายที่เคยมองข้ามไป
—— ทำไมผู้บุกรุกถึงไม่ตื่นตระหนกจากเสียงเตือนในชิงหยวน แต่กลับทิ้งผ้าเช็ดหน้าเอาไว้
——ถ้าหากกล้องวงจรปิดทั้งสี่มุมจับภาพไม่ได้ ทำไมถึงมีภาพที่ชัดเจนขนาดนั้นออกมา
ยกเว้นคำที่ฉินซีหลงเหลือเอาไว้ ผู้บุกรุกอาจไม่คาดหวังให้ลู่เซิ่นค้นพบเบาะแสใหญ่อื่นๆ มันคงจะง่ายเกินไป
เหมือน … โยนด้ายเส้นเล็กให้เขาสาวหาเบาะแสเอาเอง
หรือเป็นการยั่วยุ
พูดอย่างเช่น ถ้าเก่งพอก็หาตัวฉันสิ ฉันไม่กลัว
เมื่อรู้ถึงปัญหาข้อนี้ ประโยคที่ถังย่าพูดก็ดูไม่ได้น่าแปลกใจ