บทที่ 1212 รับเองกับมือ
หลินยี่อยากจะใช้การแต่งงานครั้งนี้ผูกมัดเวินจิ้ง ทำให้เธอเลิกคิดเรื่องในอดีต และไม่คิดถึงผู้ชายคนนั้นอีก
แต่ลู่เซิ่นจะยอมถูกใช้เป็นเครื่องมือง่ายๆ ได้ยังไง
ถึงแม้ว่าข้อเสนอของหลินยี่สำหรับเขาแล้วใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเอาเสียเลย แต่เขาก็ไม่สามารถทำตามความต้องการของหลินยี่ได้ง่ายๆ
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ หลินยี่ย่อมเข้าใจความหมายของเขา จึงแค่ยักไหล่ “ฉันแนะนำอย่างนี้ ไม่ได้จะบังคับ นายจะทำมั้ย ก็คิดอ่านเองละกัน”
ลู่เซิ่นเพียงแค่พยักหน้า ทันใดนั้นคนรับใช้เคาะประตู
พ่อบ้านสั่งคนรับใช้ให้มาส่งอาหารมื้อค่ำ
ห้องครัวทำอาหารมาไม่น้อย ลู่เซิ่นจึงกวักมือเรียก ให้อู๋ชิงเข้ามากินด้วยกัน ในห้องเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ลู่เซิ่นกับหลินยี่จึงไม่หารือกันต่อไปอีก สามคนกินอาหารเงียบๆ เรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่นก็ลุกขึ้นออกไปจากห้องหลินยี่
พ่อบ้านยังคงรอที่ห้องโถง เมื่อเห็นลู่เซิ่นทำท่าจะกลับ ก็รีบเรียก “คุณชาย ดึกแล้ว ผมเตรียมห้องไว้ให้แล้วครับ”
อยู่พักผ่อนที่นี่ดีมั้ยนะ
ถ้าเป็นเวลาปกติ ถึงเวลามืดค่ำอย่างนี้ ลู่เซิ่นคงจะไม่ยืนกรานกลับรีสอร์ทชิงหยวน พยักหน้าตกลงค้างคืนที่บ้านตระกูลลู่
แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างกัน
ฉินซีไม่อยู่กับเขา เมื่อนึกถึงความจริงเรื่องนี้ เขามีแรงจูงใจให้ต้องกลับรีสอร์ทชิงหยวน
ไม่แน่…จู่ๆ ฉินซีก็กลับมาล่ะ
เธอไม่กลับมาบ้านตระกูลลู่แน่นอน ถ้าเธอกลับมารีสอร์ทชิงหยวน แต่ไม่เห็นเขาอยู่ที่นั่น จะต้องคิดมากแน่
ลู่เซิ่นไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
ลู่เซิ่นจึงโบกมือ ปฏิเสธข้อเสนอของพ่อบ้าน ขึ้นรถให้คนขับรถมุ่งหน้าไปยังรีสอร์ทชิงหยวน
บ้านตระกูลลู่ไกลจากรีสอร์ทชิงหยวนพอสมควร คนขับรถใช้เวลาตั้งนาน ในที่สุดก็ถึงรีสอร์ทชิงหยวน
พ่อบ้านรีสอร์ทชิงหยวนเมื่อเห็นเขากลับมาดึกขนาดนี้ก็รู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่รับเสื้อนอกของเขา เดินเข้าไปที่ห้องโถงตึกใหญ่พร้อมกับเขา
วันนี้เขาได้รับข้อมูลมากมายเหลือเกิน ลู่เซิ่นรู้สึกอ่อนเพลีย อยากจะรีบพักผ่อน
นึกไม่ถึงเพิ่งเดินเข้าไปในห้องโถงเห็นกล่องใบใหญ่วางอยู่
ลู่เซิ่นแปลกใจหันไปมองพ่อบ้าน พ่อบ้านรีบอธิบาย “พัสดุกล่องนี้ส่งมาให้คุณครับ พวกเราไม่กล้าเปิดโดยพลการ การ์ดใช้เครื่องตรวจจับโลหะแล้ว ไม่มีปัญหา พวกเราเลยเอามาวางที่นี่ รอให้คุณกลับมาเปิดเองครับ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วสงสัย
เขาแทบไม่เคยจัดการพัสดุเอง ปกติหลินหยังจะเป็นคนรับของที่ส่งมาให้เขา ถ้าไม่ใช่ของสำคัญหลินหยังก็จะจัดการเอง ถ้าเป็นของที่ต้องให้เขาจัดการเอง หลินหยังก็จะทำความสะอาดกล่องจนแน่ใจว่าปลอดภัย และฆ่าเชื้อแล้ว ค่อยเอามาให้เขา
เขาจึงไม่ได้จัดการกับพัสดุด้วยตนเองมานานมากแล้ว
ลู่เซิ่นเองก็งุนงง เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครส่งของมาให้เขา และยังส่งมาที่รีสอร์ทชิงหยวน ไม่ใช่ส่งไปที่บริษัท แถมยังเป็นพัสดุกล่องใหญ่ขนาดนี้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนของธรรมดา
เขายืนอยู่ที่เดิมคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ลู่เซิ่นก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยื่นมือไปจับป้ายที่อยู่นอกกล่อง
กล่องนั้นหุ้มห่อสวยงามมาก ต่างจากกล่องพัสดุธรรมดาที่โยนไปโยนมาจนสกปรก กล่องสีขาวบริสุทธิ์ไม่เปรอะเปื้อนแม้แต่นิดเดียว ผูกริบบิ้นสีขาว ดูแล้วประณีตมาก
ป้าย หรือเรียกว่าการ์ดใบเล็กๆ ติดกับริบบิ้น ด้านนอกมีซองจดหมายสีเงินเสียบอยู่ ลู่เซิ่นไม่ลังเล ยื่นมือไปเปิดออก
แต่เมื่อเขาก้มดูแวบหนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“ขออวยพรคู่บ่าวสาวมีความสุขมากๆ”
ในที่สุดลู่เซิ่นก็รู้ว่าของที่อยู่ข้างในกล่องคืออะไร
นั่นคือชุดแต่งงานที่เขาให้หลินหยังสั่งให้ฉินซี
คิดให้ละเอียด เวลาเพียงไม่กี่วันก่อน ตอนที่เขานอนกระสับกระส่ายที่เมืองหนาน คิดว่าเมื่อกลับมาแล้วจะทำอย่างไรเพื่อจัดงานแต่งงานที่ทำให้ฉินซีประทับใจไปตลอดชีวิต และยังโทรไปหาหลินหยังกลางดึก สั่งให้เตรียมพิธีแต่งงานของตัวเอง เมื่อออกมาจากคุกก็ไม่คิดอะไรทั้งนั้น จำได้แต่ว่าเร่งให้หลินหยังไปสอบถามขนาดตัวของฉินซีเพื่อสั่งตัดชุดแต่งงานล่วงหน้า
ทีแรกเขาคิดว่าจะใช้งานแต่งงานครั้งนี้เซอร์ไพรส์ฉินซี แต่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงฉินซีกลับเป็นฝ่าย “เซอร์ไพรส์” เขาก่อน ด้วยการหายตัวไป
นับแต่วินาทีที่รู้ว่าเธอหายตัวไป ลู่เซิ่นแทบจะไม่ได้คิดเรื่องอื่น เรื่องที่ตั้งใจจะจัดงานแต่งงานถูกลืมไปเสียสนิท
แต่เมื่อเห็นชุดแต่งงานที่ส่งมา ทุกอย่างก็แล่นกลับมาอยู่ในหัวของลู่เซิ่น
ตอนที่เขาอยู่ที่เมืองหนานจิตใจจดจ่อกับการวางแผนงานแต่งงานสมบูรณ์แบบให้ฉินซี ตอนนั้นฉินซีกำลังทำอะไรอยู่นะ
พบกับจ้านเซิน หลังจากกันมานาน พูดคุยกันหวานชื่นหรือไม่นะ
ลู่เซิ่นที่จิตใจนิ่งสงบมาตลอดคืน เมื่อเห็นชุดแต่งงาน ความโกรธในใจก็ถูกจุดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ใช่สิ เมื่อเทียบกับความโกรธแล้ว เรียกว่าความอิจฉาจะเหมาะสมกว่า
เขารู้ว่า ฉินซีสูญเสียความทรงจำ นึกอะไรไม่ออก จึงไม่ได้ตั้งใจปิดบังเขา ไม่บอกสถานะของตัวเอง และรู้ด้วยว่าตอนนี้ฉินซีจำทุกอย่างได้แล้ว คงจะไม่มีหนทาง จึงไม่ติดต่อกับตัวเอง
แต่ทั้งหมดนี้คือวิธีคิดที่สมองของลู่เซิ่นควบคุม
ความรู้สึกในใจของเขาพลุ่งพล่าน ไม่อาจถูกสมองควบคุม
เขาเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง รู้เรื่องทั้งหมด แต่ยังคงรู้สึกน้อยใจ กระทั่งรู้สึกโกรธ
เพราะหลายวันมานี้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นห่วงฉินซี หลังจากถังย่าเปิดเผยความจริง มันช่างน่าขัน เพราะตัวเองตั้งอกตั้งใจวางแผนจัดงานแต่งงาน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องที่ฉินซีหายตัวไป เขาดูเหมือนเป็นตัวตลก
พ่อบ้านยืนข้างหลังลู่เซิ่น แม้ว่าจะไม่เห็นสีหน้าของลู่เซิ่น แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขามีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
รออยู่นานหลายนาที ลู่เซิ่นยังคงยืนนิ่ง เขาอดไม่ได้ลองถามขึ้น “ประธานลู่ พัสดุนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
เพราะคำถามของพ่อบ้าน ลู่เซิ่นค่อยมีสติคืนมา
เขายิ้มเหมือนเยาะตัวเอง ส่ายหน้า “พัสดุไม่มีปัญหาอะไร”
ที่มีปัญหา คือตัวเอง
“อย่างนั้น…” พ่อบ้านสีหน้าลังเล จะถามต่อ ลู่เซิ่นก็สั่งขึ้นมาก่อน
“ช่วยเอากล่องนี้ขึ้นไปวางที่ห้องผมด้วย”
พ่อบ้านสีหน้าแปลกใจ แต่ด้วยความเป็นพ่อบ้านมืออาชีพ จึงไม่ปากมากซักถาม เพียงแต่พยักหน้ารับทราบ “ครับ ผมจะเอาขึ้นไปให้ครับ”
ลู่เซิ่นเหลือบมองกล่องของขวัญสีขาวบริสุทธิ์ แล้วดึงสายตากลับ เดินตรงขึ้นบันไดไป
เขาเหนื่อยเหลือเกิน ต้องการอาบน้ำอุ่น ให้ตัวเองผ่อนคลาย
ถึงจะมีกำลังและจิตใจ จัดการเรื่องที่ประเดประดังเข้ามาหลังจากนี้
พ่อบ้านมองตามด้านหลังเขา สายตามีแววสับสน
เขายังคงหันไปอย่างคนที่เคารพในหน้าที่ เรียกคนรับใช้สองคน “เอาขึ้นไประวังหน่อยนะ