บทที่ 1230 ยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
คนพวกนั้นอาจจะไม่ใช่คนที่จ้านเซินส่งมาทดสอบฉินซี บางทีพวกเขาอาจแค่อยากจะหนีออกไป
แต่ว่าฉินซีทำได้แค่แข็งใจและเลือกที่จะรายงานกับพวกเขา
ตอนนี้ฉินซีก็แทบจะเอาตัวไม่รอด ไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรคือความจริงกันแน่
และตอนนี้ ความเชื่อใจของจ้านเซินที่มีต่อฉินซีก็เริ่มมีมากขึ้นแล้ว
เวลาหนึ่งเดือนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฉินซีอยู่บนเกาะนี้มาเป็นเวลาสองเดือนครึ่งแล้ว
มันเป็นอีกคืนที่เหนื่อยล้า ฉินซีจบหลักสูตรไปอีกหนึ่งวัน เธอผลักประตูเพื่อที่จะเข้าไปในห้องของตัวเอง แต่กลับพบจ้านเซินนั่งอยู่ในห้อง
คิ้วของฉินซีขมวดเข้าหากัน แต่เธอก็ควบคุมอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
จ้านเซินยิ้มอ่อนพลางยกคางขึ้นชี้มาที่เธอ “เธอไม่เห็นเหรอว่า…ในห้องเธอมีอะไรเปลี่ยนไป”
ฉินซีหันมองไปตามสิ่งที่จ้านเซินหมายถึง แต่ก็พบว่าบนผนังห้องเธอ…มีทีวีเครื่องหนึ่งติดอยู่
ฉินซีอึ้งไปชั่วขณะ
…เขาหมายความว่าอะไร
ฉินซีรู้ดีว่าหอพักของสำนักงานใหญ่ มีเพียงเธอเท่านั้นที่ต้องตัดขาดกับข่าวสารภายนอกทั้งหมด โดยสมาชิกส่วนใหญ่ต่างก็มีโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ในหอพักก็ยังมีทีวีอีกด้วย
แต่เธอไม่เคยขอยืมจากพวกเขาเลย ประการแรกกลัวว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตน ประการที่สองกลัวที่จะทำให้พวกเขาติดร่างแหไปด้วย
แต่ว่าทำไมจู่ๆจ้านเซินถึงติดตั้งทีวีให้แบบนี้ล่ะ
ฉินซีไม่สามารถหาคำตอบได้
ดูเหมือนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนของฉินซีจะทำให้จ้านเซินพึงพอใจ เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ลุกขึ้นเดินไปด้านข้างของฉินซีพลางเอ่ยขึ้น “เป็นเวลาสองเดือนครึ่งแล้วที่เธอมาอยู่ที่นี่ และในที่สุดเธอกลับมาเป็นตัวของตัวเองเอง”
ฉินซียิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เธอยังคงรักษาสีหน้าไม่ให้แสดงถึงหวั่นไหวออกมา
จ้านเซินหันกลับ จู่ๆก็เอื้อมมือมาเชยคางของเธอขึ้น
ฉินซีเกือบจะเบี่ยงตัวหลบโดยอัตโนมัติ แต่ท้ายที่สุดเธอก็กัดฟันควบคุมตัวเองไม่ให้ทำท่าทีบุ่มบ่าม เธอเพียงแค่เงยหน้ามองจ้านเซิน “นี่คุณจะทำอะไร”
จ้านเซินไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ขยับศีรษะยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
มือของฉินซีที่อยู่ในกระเป๋าเปลี่ยนเป็นกำหมัด
…ถ้าหากจ้านเซินกล้าที่จะจูบ ตัวเองต้องหาเหตุผลเพื่อเลี่ยงตัวออกมา
ฉินซีหลับตาแน่น กะเอาไว้แล้วว่ารอให้ลมหายใจของจ้านเซินเข้ามาใกล้ เธอค่อยหาเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยง
ถึงฉินซีจะหลับตาและรออยู่หลายวินาที แต่ริมฝีปากของจ้านเซินก็ยังไม่เข้ามาใกล้
ฉินซีสับสน ค่อยๆลืมตาขึ้น
จ้านเซินหยุดอยู่ที่ระยะเดิมที่เขาเข้ามาใกล้
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ลมหายใจของจ้านเซินเกือบจะรดลงบนใบหน้าของฉินซี เพียงแค่คนใดคนหนึ่งขยับเขยื้อน ก็จะทำให้ทั้งสองคนได้จูบกัน
แต่ยังไม่มีใครขยับตัว
แววตาของจ้านเซินลึกซึ้งจนไม่สามารถคาดเดาได้ ฉินซีไม่เข้าใจและไม่คิดจะมองเข้าไปแววตาของเขาด้วย เพราะทั้งคู่อยู่ใกล้กันเกินไป ดวงตาของฉินซีจึงไม่สามารถโฟกัสได้
ไม่รู้ว่าติดอยู่ในท่าที่คลุมเครือนี้มานานเท่าไหร่ แต่แล้วจู่ๆจ้านเซินก็ปล่อยมือและถอยหลังออกไป
“เธอกลับมาแล้ว”
จ้านเซินหันหลังให้กับฉินซี จู่ๆก็พูดประโยคเดิมนี้ซ้ำอีกครั้ง
ฉินซีมองไปยังแผ่นหลังของจ้านเซินก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร
เพราะ…ถ้าเป็นฉินซีเมื่อก่อน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามถ้ายังไม่เกิดขึ้น ฉินซีคนก่อนก็จะทำเหมือนที่ตัวเองทำในตอนนี้ ไม่ขยับเขยื้อน แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
แต่หลังจากที่ฉินซีเห็นการตายของฟางฟางและเหยาหมิ่น เธอก็ไม่ปล่อยให้จ้านเซินเข้าใกล้เธออีกเลย
…เธอได้เลือกตัวเลือกที่ถูกต้องอีกครั้ง
ฉินซีรู้ดีว่า ตอนนี้ราวกับตัวเองกำลังเดินอยู่บนทางน้ำแข็งที่เปราะบาง ถ้าเดินพลาดแม้ก้าวเดียว ก็อาจจะตกลงไปในเหวลึกได้
แต่เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไปต่อคำพูดของจ้านเซินแต่กลับหันไปมองที่ทีวีแทน
จ้านเซินที่หันหลังเธอ ราวกับรู้ว่าเธอกำลังมองดูทีวีอยู่จึงเอ่ยปากขึ้น “ฉันคิดว่า เธออยู่ที่นี่มาสองเดือนครึ่งแล้ว ก็ควรจะรู้ได้รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรดีๆขึ้นบ้าง”
ฉินซีเกือบจะพยักหน้าตามสัญชาตญาณ แต่เธอก็ยั้งตัวเองไว้ได้ เพียงแค่พูดออกมานิ่งๆ “ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันต้องกังวล”
“หืม?” เมื่อจ้านเซินได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็หันกลับมามองฉินซีด้วยความสนใจ “เธอไม่โอเคอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีนิ่งไปสักพักแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “แล้วคุณคิดว่ามีเรื่องอะไรที่ฉันต้องโอเคล่ะ”
จ้านเซินไม่ได้พูดอะไรต่อ จู่ๆก็ยิ้มพลางเดินไปที่ข้างทีวีและเอื้อมมือไปกดเปิดเครื่อง
ฉินซีรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ
แต่จ้านเซินกลับจางๆ เขาหยิบรีโมทขึ้นมาเปลี่ยนช่องสองสามช่อง จากนั้นก็หันไปพูดกับฉินซี “ในเมื่อเธอไม่อยากดูอะไร งั้นก็มาดูข่าวกับฉันสิ”
สัญชาตญาณของฉินซีบอกว่าจ้านเซินไม่ใช่คนที่จะชวนคนอื่นดูข่าวง่ายๆแบบนี้ แต่ฉินซีไม่มีทางเลือก นอกจากจะเดินไปหาเขาอย่างระมัดระวัง
จ้านเซินได้ท่าที่นั่งสบายแล้วบนโซฟา เมื่อเห็นว่ากำลังฉินซียืนอยู่ก็ไม่ได้บังคับให้เธอมานั่งข้างๆ เพียงแต่เชิดคางขึ้น สื่อความหมายให้ฉินซีดูทีวี
ฉินซีเงยหน้าขึ้น แต่แล้วจู่ๆก็ต้องผงะ
ใบหน้าที่อยู่ในทีวีนั่น…ไม่ใช่ลู่เซิ่น แล้วจะเป็นใคร
ทันใดนั้นหัวใจของฉินซีก็รู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยอะไรบางอย่าง ความโศกเศร้าเข้าครอบงำไปทั้งหัวใจ
ฉินซีทำได้เพียงแค่กำหมัดอยู่ในกระเป๋าของเธอ เกรงว่าสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอจะกลับมาหักหลังตัวเธอเอง
ฉินซีไม่ได้เจอลู่เซิ่นมาสองเดือนแล้ว
ไม่ได้นอนกอดกัน ไม่ได้จูบกัน ไม่ได้พบกัน ไม่มีรูปถ่าย ไม่ได้ยินเสียง ไม่มีข่าวคราวใดๆ
แต่เมื่อฉินซีได้เห็นลู่เซิ่น เธอก็เพิ่งค้นพบว่า เธอยังคงใจเต้นอย่างไม่มีวิธีทำให้สงบลงได้
แม้ว่าลู่เซิ่นจะทรยศตัวเอง ฉินซีเองก็เสียใจและผิดหวัง
แต่ว่าความรักของเธอยังคงอยู่ แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน ลู่เซิ่นยังคงมีชีวิตอยู่ภายในใจของเธอ
ตอนที่เห็นลู่เซิ่น ฉินซีก็เพิ่งจะรู้ตัวว่า ช่วงเวลาสองเดือนครึ่งนี้ มันไม่สามารถหยุดเธอได้
ฉินซียังคงคิดถึงลู่เซิ่น
ฉินซีใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่จะลบความสนใจจากใบหน้าของลู่เซิ่นบนทีวีได้ เสียงของผู้ประกาศข่าวดังเข้ามาถึงหูของเธอ
“จากการที่ ลู่เซิ่น ผู้นำบริษัทลู่ซื่อกรุ๊ปได้ออกมาแถลงเรื่องการแต่งงานสดๆร้อนๆ ซึ่งการตอบสนองของตลาดทุนต่อข่าวนี้ นั้นค่อนข้างอ่อนไหว หุ้นในวันนั้นพุ่งสูงขึ้นอีกด้วย ได้มีการคาดเดาเอาไว้มากมายเกี่ยวกับคู่สมรสของเขา เราได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ต่อมามาฟังรายละเอียดข่าว… ”
ฉินซีรู้สึกราวกับมีแสงสีขาวพุ่งผ่านมายังสมองของเธอ มันทำให้ความสามารถในการตอบสนองของเธอหายไปจนหมด
ลู่เซิ่น แต่งงาน
อานุภาพของสองคำนี้เมื่ออยู่รวมกัน มันรุนแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก
เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แม้ว่าเธอจะใช้เล็บจิกแน่นลงบนฝ่ามือ แต่ร่างกายของเธอยังคงสั่นเทาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เธอเพิ่งนึกได้ว่าจ้านเซินที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอ อาจจะกำลังเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของตัวเธออยู่
ฉินซีกัดปลายลิ้นของตัวเธอเองอย่างแรง เพื่อทำให้ตัวเองสงบลง
เสียงทีวีดังเข้ามาในหูของเธออีกครั้ง
ผู้ประกาศข่าวยังคงพูดคุยและคาดเดาไปต่างๆนานาเกี่ยวกับคู่สมรสของลู่เซิ่น
“ลู่เซิ่นปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับคู่สมรสของเขา และดูเหมือนว่าเขาจะไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆออกมาเลย.