บทที่ 1258 แค่พริบตาเดียวก็ไปแต่งงานกับคนอื่น
ตอนที่รถของลู่เซิ่นขับเข้าไปในรีสอร์ทชิงหยวนนั้น พ่อบ้านก็ยังเผยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อออกมาหลายส่วน
นับตั้งแต่ฉินซีหายตัวไป จำนวนครั้งที่ลู่เซิ่นจะกลับมารีสอร์ทชิงหยวนนั้นน้อยลงในทันที แทบจะไม่ค่อยปรากฏตัวที่นี่เท่าไร
พ่อบ้านรู้ดีแก่ใจว่า ลู่เซิ่นไม่ยินยอมกลับมาที่นี่ เพราะว่าไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าฉินซีหายตัวไป
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่รับผิดชอบหน้าที่ดูแลรีสอร์ทชิงหยวนให้ดีอย่างซื่อสัตย์ รอลู่เซิ่นกลับมา
คิดไม่ถึงเลยว่า ผ่านไปได้ไม่นาน กลับได้ยินข่าวว่าลู่เซิ่นจะแต่งงานแล้ว
ฉินซีก็ยังไม่กลับมาเลย ลู่เซิ่นหาใครมาแต่งงานด้วยกัน
หลังจากที่พ่อบ้านพยายามสอบถามทุกวิถีทางจนทราบชื่อแล้ว ก็ยังยืนยันอยู่หลายรอบ ถึงมั่นใจว่า คู่แต่งงานของลู่เซิ่นนั้น ไม่ใช่ฉินซีจริงๆ
ชั่วพริบตาเขากลับไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถพูดอะไรได้
เห็นอยู่ชัดๆว่าลู่เซิ่นดูแล้วลืมฉินซีไม่ลง ทำไมแค่พริบตาเดียวก็ไปแต่งงานกับคนอื่นเสียอย่างนั้นล่ะ
เขาไม่สามารถจะเข้าใจได้
แต่ว่า……ไม่ว่าเขาจะไม่เชื่ออย่างไร ก็ไม่มีวิธีที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของลู่เซิ่นได้
เพราะว่าลู่เซิ่นแทบจะไม่กลับรีสอร์ทชิงหยวนเลย ในฐานะพ่อบ้าน เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปรบกวน
เดิมเขาเตรียมตัวเตรียมใจเรียบร้อยแล้วว่า ลู่เซิ่นจะไม่กลับมารีสอร์ทชิงหยวนอีก
สุดท้ายแล้ว……ถ้าหากว่าแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นแล้วจริงๆ บริษัทลู่ซื่อก็ไม่ได้ขาดบ้าน ฝ่ายตรงข้ามน่าจะยอมรับการมาใช้ชีวิตที่นี่ได้ยากมาก
ดังนั้นตอนที่เห็นว่าคนที่ลงจากรถเป็นลู่เซิ่นจริงๆแล้ว พ่อบ้านก็ยืนค้างอยู่ที่เดิมหลายวินาที ไม่ได้ก้าวเข้ามาต้อนรับทันทีอย่างเห็นได้น้อย
“ทำไมหรือ” ลู่เซิ่นหันมาเอ่ยกับพ่อบ้านไกลๆ “ไม่ได้กลับมาไม่กี่เดือน กระทั่งฉันก็ไม่รู้จักแล้วหรือ”
พ่อบ้านรีบก้าวขึ้นไปด้านหน้า รับเสื้อคลุมของเขามา “ไม่ครับ……ผมแค่ประหลาดใจเล็กน้อยที่คุณเลือกกลับมาในวันนี้เท่านั้นเอง”
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบกลับประโยคนี้ของเขา แต่เดินตรงเข้าไปด้านใน
เขาไม่ได้กลับมาเดือนกว่า รีสอร์ทชิงหยวนยังคงถูกจัดการดูแลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่แตกต่างอะไรจากตอนที่เขาจากไป
แต่คนที่เคยอยู่ข้างกายและดูทิวทัศน์เหล่านี้กับเขาด้วยกันนั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว
ลู่เซิ่นหลุบตาลง ยับยั้งตัวเองไม่ให้คิดต่ออีก
เพราะลู่เซิ่นกลับมาโดยไม่ได้คาดหมาย หลังจากที่ทั้งบนและล่างของรีสอร์ทชิงหยวนเข้าสู่สภาพความตื่นเต้นแล้ว พ่อครัวก็รีบเพิ่มอาหารหลายเมนู คล้ายกับว่าอยากจะใช้อาหารมาดึงรั้งลู่เซิ่นเอาไว้
แต่ลู่เซิ่นกลับเดินตรงไปยังห้องของตัวเอง
กระทั่งภายในห้องก็ยังคงสภาพตอนที่เขาจากไปเอาไว้
ลู่เซิ่นมองไปรอบๆครั้งหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากถามว่า “ชุดแต่งงานล่ะ”
ชุดที่เขาพูดย่อมเป็นชุดที่สั่งตัดตามรูปร่างของฉินซีชุดนั้น
พ่อบ้านตะลึงค้าง “ทางบ้านตระกูลลู่ให้คนมาเอาไปแล้ว…….ไม่ถูกต้อง ยังไม่ได้เอาไปครับ”
เขาคิดขึ้นมาได้ในทันที
หลายวันก่อนหน้านี้มีคนติดต่อเขามาจริงๆ พูดว่าลู่เซิ่นล้วนเก็บชุดแต่งงานและแหวนไว้ที่รีสอร์ทชิงหยวน รบกวนให้เขาจัดเตรียมให้เรียบร้อย บริษัทผู้ช่วยจัดงานแต่งงานจะให้คนมารับไป
พ่อบ้านจัดเตรียมตามคำบอกแล้ว ทางนั้นกลับไม่มารับไปสักที
ที่จริงแล้วก็ไม่อาจโทษบริษัทผู้ช่วยจัดงานแต่งงานได้ พวกเขาเอ่ยถามก่อนแล้ว แต่ลู่เซิ่นแสดงให้เห็นว่า เขาเตรียมชุดแต่งงานและแหวนเรียบร้อยหมดแล้ว ดังนั้นทางบริษัทจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ
อ้างอิงจากลำดับขั้นตอนปกติของพวกเขาแล้ว อย่างน้อยก่อนงานแต่งต้องมีการซักซ้อมลำดับขั้นตอนงานแต่งงานก่อนครั้งหนึ่ง ตอนนี้จึงจำเป็นต้องนำชุดแต่งงานและแหวนออกมา แต่ลู่เซิ่นปฏิเสธการซักซ้อม พวกเขาย่อมลืมเรื่องนี้เป็นธรรมดา
ลู่เซิ่นไม่ได้เผยสีหน้าตำหนิออกมา สีหน้าเขาเรียบเฉย น้ำเสียงฟังไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธ “เอามาให้ฉันดูหน่อย”
พ่อบ้านรีบรับคำ ชุดแต่งงานที่ห่อเรียบร้อยแล้วถูกส่งมาห้องของลู่เซิ่นอย่างรวดเร็ว
“ถึงเวลาทานอาหารค่อยเรียกฉัน” ลู่เซิ่นที่สายตาจับจ้องชุดแต่งงานที่วางอยู่บนเตียง เอ่ยปากพูด
พ่อบ้านรู้ว่านี่หมายความว่า เขาจะอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง ดังนั้นจึงออกจากห้องไปอย่างรู้ความ
ประตูห้องปิดลง ในที่สุดก็เหลือเพียงแค่ลู่เซิ่นคนเดียว เขาจึงไม่จำเป็นต้องฝืนรักษาความรู้สึกสงบเยือกเย็นของตัวเองเอาไว้
ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง เขาค่อยๆเดินไปที่เตียง เคลื่อนไหวมือออกไปอย่างช้าๆ สัมผัสกับขอบชุดแต่งงาน
ถ้าหากว่าฉินซีสวมมันล่ะก็ จะต้องงดงามมากแน่นอน
แต่ว่า……ถึงตอนนี้แล้ว เธอยังคงไม่ปรากฏตัวออกมา นั่นจะหมายความว่า……ใช่หรือไม่
ลู่เซิ่นหลับตาลง ไม่ได้คิดต่อไปอีก
เขาสามารถหยิบเอาผลประโยชน์ของคนอื่นมาเล่นบนฝ่ามือได้ เงินก้อนใหญ่เข้าและออกโดยไม่ทันได้กระพริบตา การลงทุนและแผนการกลยุทธ์ที่ในสายตาของคนอื่นดูแล้วเสี่ยงเป็นอย่างมาก แต่เขากลับมีการตระเตรียมความพร้อม สร้างความมั่นใจโดยการคิดอ่านวางแผนอย่างรอบคอบมาก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ว่าการตัดสินใจทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับฉินซี แม้ว่าจะเป็นตัวเขาเอง ก็ไม่มีความมั่นใจที่แน่นอน
ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าตัวเองจ้องมองชุดแต่งงานชุดนี้นานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งพ่อบ้านเคาะประตู เขามองชุดแต่งงานเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
…………
อีกด้านหนึ่ง ภายในฐานที่มั่นขององค์กร
ฉินซีนอนกลางวันยาวนานมาก รอจนใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ถึงค่อยๆตื่นขึ้นมา
เมื่อเธอเดินออกไปนอกประตู ถึงพบว่าคนที่รออยู่ด้านนอกเปลี่ยนไปคนหนึ่ง
“ถังย่าหรือ” ฉินซีรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “ทำไมถึงเป็นเธอกัน”
ถังย่ายิ้มจางๆ “ทำไม เป็นฉันไม่ได้หรือ”
เห็นรอยยิ้มสุภาพของเธอจนชินตาแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอกะทันหัน ฉินซีก็รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง
เธอส่ายหน้า “ไม่ ที่จริงแล้วเมื่อเป็นเธอ ฉันก็รู้สึกว่าปกติมาก
หลังจากถูกพากลับไปที่สำนักงานใหญ่แล้ว มากน้อยอย่างไร ฉินซีก็ยังได้ยินข่าวคราวของถังย่าอยู่บ้าง บอกว่าบริษัทพีอาร์ที่เป็นฐานที่มั่นก่อนหน้านี้ถูกถอดถอนออกไปแล้ว กลับไม่ได้รับการลงโทษอะไร จ้านเซินเพียงแค่ให้เธอเปลี่ยนบริษัทใหม่แห่งหนึ่ง ทั้งยังไม่จำเป็นต้องให้เธอออกหน้าจัดการธุรกิจด้วยตัวเองอีกแล้ว
แม้ว่าคนในสำนักงานใหญ่จะถูกฝึกอบรมให้ไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ แต่ว่าสัญชาตญาณในการซุบซิบนินทากลับยังไม่ถูกทำให้หายไป
ที่ประเทศF เดิมฐานที่มั่นของถังย่าเป็นฐานที่มั่นที่พัฒนาได้ดีมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทำหายไปทั้งแบบนี้ เธอกลับไม่ถูกทำโทษหรือ
ภายในองค์กรมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ค่อนข้างมาก แต่ฉินซีได้ยินการคาดการณ์มากมาย รวมถึงการคาดการณ์ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติระหว่างจ้านเซินและถังย่าด้วย
—— “ทำผิดพลาดในเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้กลับไม่ถูกลงโทษเลยแม้แต่น้อย คุณไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ”
——“ไม่ได้บอกว่า เธอไปหาเสี่ยวA มารอบหนึ่งหรอกหรือ”
——“ลงโทษระดับ A หรือ ล้อเล่นใช่ไหม”
——“ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันล่ะ”
แรกเริ่มฉินซีแค่ยิ้มอย่างไม่ยี่หระกับข่าวลือพวกนี้เท่านั้น
เธอเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ที่รู้ดีที่สุดถึงสาเหตุที่ว่า ทำไมถึงไม่สามารถใช้ฐานที่มั่นของถังย่าแห่งนั้นได้อีก
เป็นเรื่องที่ตัวจ้านเซินก่อขึ้นมาเอง แน่นอนว่าถังย่าไม่ต้องถูกลงโทษ
แต่ว่าในภายหลัง เมื่อได้ยินรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ค่อยๆเกิดความแคลงใจขึ้นมาเล็กน้อย
—— “ได้ยินหรือยังว่า การลงโทษระดับ A ของถังย่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยื่นเรื่องไปทำการบำบัดด้วยการสะกดจิตด้วยตัวเองแล้ว”
—— “บำบัดด้วยการสะกดจิต อย่างนั้นไม่ใช่ว่า……..”
—— “ชู่! ฉันว่านะ ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าตัวเองรู้สึกผิด! ถ้าไม่ไปบำบัดอีกแล้วถูกคนพบเข้า อย่างนั้นก็ตายสถานเดียว”
แน่นอนว่าฉินซีรู้ดีมากว่า “การบำบัดด้วยการสะกดจิต” ที่สำนักงานใหญ่เรียกกันคืออะไร
สำหรับสมาชิกภายในองค์กร ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีหนทางที่จะควบคุมตัวเองจากหลักสูตรล้างสมองได้ พวกเขาล้วนเป็นฝ่ายยื่นเรื่องดำเนินการสะกดจิต ปิดตายความคิดบางอย่างที่ตัวเองไม่ควรมีเอาไว้ หรือทำให้ลืมไป
กระทั่งตัวฉินซีเองก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง……นั่นก็คือหลังจากที่เธอกลับมาจากการพบกับลู่เซิ่นเป็นครั้งแรกที่หอศิลป์เมืองหนาน