บทที่ 1270 สารภาพ
ลู่เซิ่นใช้เวลาอยู่หลายวินาที ถึงจะสวมแหวนให้กับฉินซีได้ในที่สุด
จากนั้นเขาลุกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว โอบกอดฉินซีเอาไว้แน่น เหมือนกับต้องการจะให้เธอหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในเลือดเนื้อของตัวเอง เอียงคอ และจูบลงไปบนริมฝีปากของฉินซีอย่างดุเดือด
ไม่เหมือนกับจูบหลายนาทีก่อนหน้านี้ ครั้งนี้การกระทำของลู่เซิ่น ดูเหมือนจะโหดเหี้ยมมากขึ้น แต่ความจริงแล้วกลับอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าฉินซีเป็นของล้ำค่าอะไรบางอย่าง ที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติด้วยความทะนุถนอมถึงจะได้
ความอ่อนโยนของลู่เซิ่นเหมือนกับบ่อน้ำบ่อหนึ่ง ซึมซาบเข้ามาเข้าสู่ร่างกายและหัวใจของฉินซี ทำให้รู้สึกถึงแต่ความผ่อนคลายและสบายใจ
จูบในครั้งนี้ไม่ได้มีความปรารถนาปนอยู่ด้วยเท่าไรนัก ดังนั้นทั้งคนจึงกอดจูบคลอเคลียกันอยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยๆแยกออกจากกัน
ลู่เซิ่นเลื่อนมือลงไปด้านล่าง จับมือฉินซีเอาไว้ พาเธอเดินไปทางชุดแต่งงาน
“เรื่องแรกที่ผมทำตอนออกมาจากคุก ก็คือจองชุดแต่งงานให้คุณชุดหนึ่ง” ลู่เซิ่นหลุบตามองชุดแต่งงานชุดนี้ “พูดในสิ่งที่ไม่ได้มาจากใจจริงกับผู้อื่น ก็ทำให้ผมคิดอยากจะอยู่ด้วยกันกับคุณมากยิ่งขึ้น”
เขาหันหน้าไปมองฉินซี “ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งงานชุดนี้ และแหวนวงนั้น สมองของผมล้วนมีเพียงแค่คุณ”
จู่ๆฉินซีนึกถึงประโยคแรกที่ลู่เซิ่นพูดในตอนที่เพิ่งจะเข้ามา
“ชอบล่ะก็ ไม่สู้ลองสวมกับตัวเองดูล่ะ”
ที่แท้การที่เขาพูดแบบนี้…….ไม่ใช่การยั่วยุอะไร และก็ไม่ใช่การเสียดสีประชดประชันเช่นกัน
แต่เป็นเพราะ เดิมชุดแต่งงานและแหวนกล่องนั้นก็เป็นของเธอ
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ฉินซีก็อดโค้งตัวลงไป จับชุดแต่งงานชุดนั้นอีกครั้งอย่างอดใจไม่อยู่
ในครั้งนี้เธอไม่ได้ลังเล แต่หยิบชุดแต่งงานชุดนั้นขึ้นมาตรงๆ วางเทียบที่ด้านหน้าร่างกายตัวเอง เหมือนกับลองเสื้อผ้า
แต่ลู่เซิ่นกลับเบนตาหนีกะทันหัน
“ก่อนแต่งงาน เห็นเจ้าสาวสวมชุดแต่งงาน เป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลเรื่องหนึ่ง” ลู่เซิ่นคล้ายกับรู้สึกตัวว่า การกระทำของตัวเองนั้นกะทันหันเกินไปอยู่บ้าง จึงรีบเอ่ยปากอธิบาย
ฉินซีชะงัก อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เธอรู้ว่า ลู่เซิ่นเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้มากที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่า……การเผชิญหน้ากับงานแต่งงาน เขากลับกลายเป็นคนที่มีความเชื่องมงายแบบนี้
มุมปากฉินซีประดับด้วยรอยยิ้ม วางชุดแต่งงานลง “ได้ๆ อย่างนั้นฉันไม่สวมก็ได้”
ลู่เซิ่นถึงได้หันหน้ากลับมา มองตาฉินซี “พรุ่งนี้ค่อยสวมให้ผมดู คุณไม่รู้หรอกว่า ผมอยากเห็นท่าทางที่สวมชุดแต่งงานของคุณมากแค่ไหน”
เมื่อประโยคนี้ของเขาหลุดออกมา สีหน้าของฉินซีของชะงักไป
ความจริงที่ถูกเธอเจตนาจะลืมไปเมื่อครู่นี้ กลับเข้าสู่สมองของเธออย่างดื้อดึงในตอนนี้
ความสุขทั้งหมดของเธอในตอนนี้ล้วนขโมยมา เป็นช่วงเวลาสั้นๆ รอจนถึงวันพรุ่งนี้แล้ว ล้วนต้องคืนทั้งหมดนี้ไป
เธอรู้ว่า ตัวเองไม่สามารถหลอกลู่เซิ่นได้อีก และไม่สามารถจากไปโดยไม่บอกลาอีกแล้ว
ดังนั้นเธอค่อยๆดึงมือของตัวเองออกมาจากฝ่ามือของเขา ภายใต้แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังของลู่เซิ่น
สีหน้าลู่เซิ่นชะงัก รู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดปกติเล็กน้อยได้อย่างฉับไว ท่าทางของฉินซีก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน
เขาค่อยๆเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าขึ้นมา รอคำพูดถัดไปของฉินซี
“ลู่เซิ่น” ฉินซีสูดลมหายใจลึกครู่หนึ่ง ถึงได้มีความกล้าที่จะเงยหน้ามองเขา “ตอนนี้ฉันยังไม่ได้อิสระกลับคืนมา ที่ฉันมาในคราวนี้…….เป็นการแอบหนีออกมา”
สีหน้าลู่เซิ่นแข็งค้าง สุดท้ายก็ขรึมลง
“สาเหตุที่ฉันสามารถมาประเทศF ในครั้งนี้ได้ เป็นเพราะมีภารกิจหนึ่งที่ฉันวางแผน ดังนั้นฉันถึงได้มีโอกาสออกจากสำนักงานใหญ่ขององค์กรชั่วคราว” ฉินซีไม่คิดจะบอกเรื่องน่ารังเกียจที่จ้านเซินทำออกมา ดังนั้นจึงพูดรวบรัดแบบผ่านๆ “แต่รอจนถึงวันพรุ่งนี้ ตอนที่งานแต่งงานของคุณสิ้นสุดลง ภารกิจนั้นก็สำเร็จแล้ว ฉัน…….ก็จำเป็นต้องไปจากที่นี่ เพื่อกลับไปยังองค์กรแล้ว”
แววตาลู่เซิ่นมืดมาก “พรุ่งนี้ หลังจากงานแต่งงานของผมจบลง คู่ของภารกิจคุณ…….เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับงานแต่งงานผมหรือ”
ฉินซีหลุบตา ไม่ตอบ
ลู่เซิ่นรู้ว่านี่น่าจะเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ความรู้สึกของเธอแสดงให้เห็นชัดเจนทั้งหมดแล้ว เขาจึงไม่ได้ถามต่อ
“หลังจากงานแต่งงานสิ้นสุดลงแล้ว คุณก็ต้องจากไปหรือ” ลู่เซิ่นเอ่ย เหมือนกับยืนยัน แต่ก็สอบถามอีกรอบ
ฉินซีไม่กล้าเงยหน้ามองเขา ทำเพียงแค่พยักหน้า
เธอเพิ่งจะตอบรับคำขอแต่งงานของลู่เซิ่น พริบตาเดียวก็พูดว่าตัวเองต้องไปแล้ว ดูแล้วไม่เข้าท่าอยู่บ้างจริงๆ
ลู่เซิ่นจะเป็นอย่างไร จะโกรธไหม หรือว่าจะบอกว่าไม่คิดจะแต่งงานกับตัวเองแล้วออกมาตรงๆ
สมองของฉินซีเต็มไปด้วยเสียงความคิดอึกทึกครึกโครมมากมาย ทว่ากลับถูกกอดอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นหนึ่งอย่างกะทันหัน
“ในเมื่อจะจากไปหลังจากงานแต่งงานจบลง อย่างนั้นผมจะเชิญให้คุณมาเป็นเจ้าสาวในงานแต่งงานของผมได้หรือไม่”
ฉินซีตะลึง กระทั่งอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าออกมาจากอ้อมกอดของลู่เซิ่น มองสีหน้าเขา “ลู่เซิ่น คุณรู้หรือไม่ว่า คุณกำลังพูดอะไรอยู่”
ลู่เซิ่นยักไหล่อย่างเห็นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล “แน่นอนว่าผมรู้ตัวว่า ผมกำลังทำอะไร ฉินซี งานแต่งงานนี้ผมจัดเตรียมเพื่อคุณ ถ้าหากว่าคุณไม่ปรากฏตัว อย่างนั้นผมก็ทำได้เพียงแค่ใช้เวลาในงานแต่งงานที่ไม่มีเจ้าสาวครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
ฉินซีถูกท่าทางที่เห็นเป็นเรื่องสมเหตุสมผลของเขาทำให้ตกใจชะงักไปหลายวินาที ชั่วขณะหนึ่งจึงพูดออกมาไม่เป็นประโยค “คุณ…….คุณ……..”
“ผมเข้าใจความตั้งใจของคุณ” น้ำเสียงของลู่เซิ่นอ่อนโยน ยื่นมือออกมากอดฉินซีเอาไว้ในอ้อมแขนตัวเองอีกครั้ง “ผมจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ เพียงแค่ต้องการมีงานแต่งงานที่สมบูรณ์แบบกับคุณเท่านั้น”
ฉินซีกำลังกังวลอะไร ลู่เซิ่นนั้นรู้ดี
เบื้องหลังองค์กรนั้นลึกลับ ยากจะหยั่งถึง ขอบเขตอิทธิพลกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าหากว่าใช้อำนาจทั้งหมดของบริษัทลู่ซื่อ ก็ไม่ใช่ว่าไม่สามารถต่อสู้กับองค์กรได้อย่างเสมอภาค
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ บริษัทลู่ซื่อจะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนักแน่นอน
ฉินซีไม่อยากให้ลู่เซิ่นทำเรื่องพวกนี้เพื่อเธอ
เธออยากจะไปจากองค์กรมาก อยากจะใช้ชีวิตอยู่ดูแลซึ่งกันและกันกับลู่เซิ่นมาก แต่บริษัทลู่ซื่อไม่ใช่บริษัทของลู่เซิ่นคนเดียว ยังมีพนักงานเยอะแยะ ผู้ถือหุ้นมากมาย รวมถึงหยาดเหงื่อและแรงกายของคุณปู่ลู่เซิ่น
เธอไม่สามารถให้ลู่เซิ่นทำลายทุกอย่างทิ้งเพื่อตัวเอง
แต่ว่าจัดงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้กับลู่เซิ่น…….
เรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็ยังอยู่นอกเหนือการยอมรับของฉินซีอยู่บ้าง
“แต่ว่า คุณพูดอย่างชัดเจนแล้วว่า จะแต่งงานกับเวินจิ้ง ถ้าฉันปรากฏตัวในวันพรุ่งนี้ คุณจะอธิบายว่าอย่างไร” ฉินซีมองลู่เซิ่นอย่างไม่เข้าใจ
แต่บนใบหน้าลู่เซิ่นกลับเผยรอยยิ้มลึกลับออกมาเล็กน้อย “คุณฟังผมก็พอ ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว” ผมรับประกันเลยว่า คนในองค์กรของคุณไม่มีทางรู้ได้ว่าคุณทำเรื่องนี้ และยังสามารถให้คุณไปจากที่นี่ได้หลังจากงานแต่งงานสิ้นสุดลงด้วย”
ฉินซีมองท่าทางที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของเขา ในใจก็เต้นตึกตักอย่างอดไม่ได้
เธอจะฟังไม่ออกได้อย่างไร แบบนี้ ที่เรียกว่าเวินจิ้ง ก็น่าจะเป็นแค่ป้ายชื่อเท่านั้นเอง น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาวางแผนกำจัดคนที่มีความเห็นขัดแย้งกับตัวเองที่พูดถึงก่อนหน้านี้
เธอจะไม่อยากมีงานแต่งงานที่สมบูรณ์แบบกับลู่เซิ่นสักครั้งได้อย่างไร
ถ้าหากว่ามีโอกาส ถ้าหากว่าทำได้ล่ะก็…….
เธอหลับตาลง เหมือนกับทุ่มสุดตัว พยักหน้าไปทางลู่เซิ่น “ได้ อย่างนั้นฉันจะฟังคุณ