บทที่ 1286 ปกป้อง
“คุณชายลู่ไม่ให้ใครขึ้นไป น่าเสียดายจัง” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น “ถ้าขึ้นไปดูในห้องแต่งตัวได้ คงจะรู้ว่ามีแผนอะไรกันแน่”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป ทุกคนในที่นั้นพากันเงียบ
คนรับใช้แม้ว่าจะแปลกใจมากแค่ไหน แต่ทุกคนต่างก็รู้ดี ความแปลกใจนี้จะต้องเก็บไว้ในใจตัวเองให้ลึกที่สุด
ถ้ายื่นมือไปลองสัมผัสโดยไม่รู้ตื้นลึกจริงๆ จะมีผลอย่างไรตามมา…
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ทุกคนจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เพียงแต่ความคิดนี้สุดท้ายแล้วยังคงอยู่ในใจทุกคน
ขณะที่ทุกคนรู้สึกว่าวันนี้คงจะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เวินจิ้ง ทันใดนั้นคำสั่งของลู่เซิ่นก็ทำให้พวกเขาตื่นตัวขึ้นมา
“เวินจิ้งน่าจะอยู่ในห้องแต่งตัวนานแล้ว” ลู่เซิ่นถือแก้วแชมเปญในมือ หันจากกลุ่มคนที่กำลังกินดื่มสนุกสนาน มาสั่งคนรับใช้ “ให้คนไปเรียกเธอหน่อย ถ้าหลบหน้าตลอดคงจะไม่ดี”
โอกาสทองที่ยากจะมาถึง คนรับใช้หลายคนที่แปลกใจมากที่สุดรีบอาสาไปทำตามคำสั่ง จึงไม่มีคนเห็นตอนที่ลู่เซิ่นหันไป ส่งสายตาที่มีความหมายลึกล้ำกับหลินยี่
ขณะที่คนรับใช้ขึ้นไปอย่างตื่นเต้นดีใจ ย่อมไม่ได้ข่าวใดๆ แม้แต่คนรับใช้สองคนที่ไปจัดการชุดแต่งงานก็แอบตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ
พวกเขามาครั้งนี้ นอกจากจะยืนยันว่าเจ้าสาวคือเวินจิ้ง ก็ไม่ได้คำตอบอะไรอย่างอื่น
…นี่คงจะเป็นโลกของคนมีเงินกระมัง พวกเขาคงไม่มีวันเข้าใจ
คนรับใช้หลายคนต่างคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แต่การกระทำเช่นนี้ แน่นอนว่าลู่เซิ่นวางแผนเป็นพิเศษ
เจ้าสาวที่คลุมผ้าคลุมศีรษะตลอด ย่อมทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่สิ้นสุด อยากรู้เกี่ยวกับเจ้าสาวให้ชัดเจน
ความอยากรู้อยากเห็นนี้เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่นไม่อยากเห็นมากที่สุด
หลังจากรู้ว่าถ้าฉินซีอยู่ที่นี่ต่อไปจะเป็นอันตรายถึงชีวิต เขาก็เข้าใจยิ่งขึ้น ถ้าข่าวฉินซีเป็นเจ้าสาววันนี้แพร่ออกไป ไม่มีทางรับประกันความปลอดภัยของฉินซีได้แน่
ดังนั้น เขาต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้นหลายเท่า ถึงได้วางแผนให้ปลอดภัยเป็นพิเศษ
ให้คนรับใช้ในบ้านไปยืนยันด้วยตัวเองว่าเจ้าสาวคือเวินจิ้ง จากนั้นต่อหน้าทุกคน แกล้งทำเป็นเรียกให้เธอลงมา
แน่นอน ในเมื่อก่อนหน้านี้ปิดบังรัดกุม ตอนนี้จะแตกต่างมากเกินไปไม่ได้ ปล่อยให้เธอออกมาพบทุกคนง่ายๆ จึงต้องให้เธอแอบไปห้องรับแขกเล็ก ให้ทุกคนเห็นหน้าเพียงด้านข้างรางๆ
รายละเอียดต้องทำอย่างไร หลินยี่บอกเวินจิ้งไว้หมดแล้ว ลู่เซิ่นเชื่อใจเขา
ดังนั้นใจเขาจึงนิ่งเฉย หยิบแก้วเหล้ามาชนแก้วต่อไป ดูไม่ออกสักนิดว่าใส่ใจเรื่องที่เจ้าสาวจะปรากฏตัว
ท่าทางเขาเช่นนี้ แขกเหรื่อไม่กล้าแสดงความประหลาดใจ ได้แต่ส่งสายตากัน แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวินจิ้งเดินลงมาอย่างมั่นคงท่ามกลางเหตุการณ์ที่เป็นภาพลวง
ขณะที่เธอเดินลงมาจากชั้นบน ราวกับทั้งห้องโถงใหญ่เงียบสงัด
คนรับใช้ล้อมรอบตัวเธอ แขกเหรื่อในงานไม่มีทางไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใคร
สายตาของทุกคนในห้องรับแขกราวกับถูกเชือกล่องหนดึงเข้าไปหาเวินจิ้ง
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง ยังคงก้มหน้าเดินไม่เร็วไม่ช้า ลงบันไดทีละก้าว
บรรดาแขกแทบจะยื่นคอไปดูหน้าเธอให้ชัดๆ
แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง
คนรับใช้ที่ล้อมรอบเวินจิ้งเหมือนฉากกั้น ทำให้พวกเขาเห็นเค้าโครงของเวินจิ้งแวบๆ แต่ไม่มีทางเห็นเธอชัดเจน
กระทั่งเธอเดินลงบันไดมา ก็ถูกคนรับใช้ห้อมล้อมไว้หมด แขกที่มาร่วมงานได้แต่สังเกตเวินจิ้งผ่านช่องเล็กๆ เท่านั้น
…ยังคงปกป้องอย่างรัดกุม
เมื่อนึกถึงพิธีแต่งงานที่ไม่ให้คนนอกเข้าร่วม และเจ้าสาวยังไม่ถอดผ้าคลุมศีรษะออก พวกแขกเหรื่อจึงไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
ได้เห็นแค่เสี้ยวของใบหน้าด้านข้างของเวินจิ้ง เท่านี้ก็ถือว่าช่วยคลายความอยากรู้อยากเห็นแล้ว
ด้านเวินจิ้งราวกับไม่รู้สึกถึงสายตาของทุกคน ท่ามกลางคนรับใช้ที่รุมล้อม เดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องใหญ่
ลู่เซิ่นเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ยิ้มอยู่ในใจ มองไปทางแขกพยักหน้าขอตัว วางแก้วลงแล้วเดินตามไป
สายตาทุกคู่ตามเพ่งมองที่มุมนั้น
ตรงนั้นมีห้องรับแขกเล็ก
บรรดาแขกเข้าใจ คู่บ่าวสาว คงจะเข้าไปยกน้ำชากระมัง
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไร เวินจิ้งไม่ทักทายแม้แต่คำเดียว แขกเหรื่อต่างจินตนาการบทละครในหัวกันแล้ว
จังหวะฝีเท้าของทั้งสองคนไม่รีบร้อน เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู คนรับใช้ช่วยเปิดประตูให้ ลู่เซิ่นยืนบังประตูให้เวินจิ้งอย่างสุภาพบุรุษ ปล่อยให้เธอเดินเข้าไปก่อน ตัวเองเดินตามเข้าไป
ประตูห้องรับแขกเล็กค่อยๆ ปิดลงต่อหน้าทุกคน
ในที่สุดสายตาของแขกทุกคนก็ละจากตรงนั้น
ทุกคนต่างหันมาประสานสายตากัน หลังจากความเงียบครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีคนร้องขึ้นมาอย่างเสียดายเป็นคนแรก “นี่ถือว่าเห็นเจ้าสาวแล้ว”
ความเงียบถูกทำลาย ทั้งห้องโถงใหญ่นั้นก็อภิปรายกันไปต่างๆ นานา
มีคนแน่ใจว่าตัวเองเห็นเวินจิ้งชัดเจน “นึกไม่ถึง ประธานลู่จะชอบแบบนี้…จะบอกว่าสวยก็ไม่ถึงกับสวย แต่อ่อนโยนมาก”
มีบางคนพยายามนึกว่าตัวเองเคยเห็นเธอที่ไหน “ฉันรู้สึกเธอคุ้นหน้า จะต้องเคยเจอที่ไหนแน่”
แต่ไม่ช้าก็มีคนเห็นแย้ง “เจ้าสาวไม่ใช่คนประเทศ F เขาบอกแล้วเป็นคนเมืองหนานไม่ใช่หรือ คุณจะมีโอกาสเคยเห็นได้ยังไง”
และยังมีคนที่ละเอียดหน่อย พบข้อสงสัย “ทำไมฉันรู้สึก…ตอนที่โยนดอกไม้ เจ้าสาวดูแล้วสูงโปร่งกว่าตอนนี้มากล่ะ”
ถึงแม้จะเป็นคนที่จินตนาการเก่งที่สุด ก็นึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่นจะเล่นละครสลับตัวเจ้าสาว จึงมีคนอธิบายขึ้น “น่าจะเป็นเพราะตอนนั้นพวกเรายืนอยู่ข้างล่าง มุมมองต่างกัน ถึงได้เห็นไม่เหมือนกัน อีกอย่าง ส้นรองเท้าเจ้าสาวต่างกัน ความสูงก็จะต่างกันด้วยนะ”
พวกคนที่สงสัยต่างพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจทันที
แต่ประตูห้องรับแขกเล็กกั้นการถกเถียงของทุกคนไว้เพียงภายนอก
สถานการณ์ในห้องรับแขกเล็กแตกต่างจากที่ภายนอกจินตนาการอย่างสิ้นเชิง
ลู่เหวยกับสูหยิงนั่งที่โซฟา ลู่เซิ่นกับเวินจิ้งยืนตรงหน้า ส่วนหลินยี่ยืนพิงประตู
ถ้าดูสีหน้าของคนทั้งห้า คงไม่มีใครคาดคิดว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของลู่เซิ่น
“ทำเรื่องวุ่นขนาดนี้ แล้วจะหาทางจบยังไงดีล่ะ” ลู่เหวยย่นคิ้ว มองลู่เซิ่นอย่างไม่เห็นด้วย
ลู่เซิ่นยักไหล่ “งั้นก็ปล่อยไป ทำไมต้องหาทางจบด้วยครับ”
น้ำเสียงของเขาไม่ใส่ใจ ไม่มีความหมายของความเร่งด่วนสักนิด
ลู่เหวยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ลู่เซิ่น ก่อนหน้านี้แกให้เวินจิ้งเป็นโล่กำบัง พ่อเข้าใจได้ แต่ตอนนี้แกแต่งงานกับฉินซีแล้ว ยังให้เวินจิ้งมาแกล้งทำเป็นภรรยา แกต้องการทำอะไรกันแน่