บทที่ 1291 ภารกิจ
ถังย่าไม่ได้มีหน้าที่ยุ่งเกี่ยวกับภารกิจนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าทำไมฉินซีถึงชะงักขาของเธอ ก่อนจะหมุนกายหันมาถาม “มีอะไร?”
ฉินซีเม้มริมฝีปาก เธอโบกมือไปมา “เปล่า”
เมื่อครู่เหมือนมีอะไรมาสะกิดใจเธอ คิดอยากจะไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อดูอะไรสักหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น
ทว่าเหตุผลกลับหยุดเธอเสียก่อน
พูดจบ เธอจึงก้าวเดินตามถังย่าไป
ทั้งสองเดินกลับไปที่ฐานปฏิบัติการ เมื่อมาถึงก็พบว่าจ้านเซินตื่นนอนแล้ว
อาจจะเพราะว่าเขาได้พักผ่อน เลยทำให้ความเครียดขมึงที่ระหว่างคิ้วดูคลายลง มองตรงไปยังถังย่าและฉินซี ก่อนเปิดปากถาม “จบแล้วเหรอ?”
ถังย่านิ่ง ส่วนฉินซีพยักหน้า “ใช่”
จ้านเซินไม่ได้ถามอะไร เขาโบกมือ “เอาล่ะ งั้นไปกันเถอะ เตรียมเครื่องบินไว้พร้อมแล้ว”
ทันใดฉินซีก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่มันขัดอยู่ในใจ ก่อนเธอเอ่ยปากถาม “รายงานของภารกิจนี้ ฉันขอสักฉบับได้ไหม?”
จ้านเซินหยุดฝีเท้า หันไปมองเธอ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “คุณจะเอาไปทำอะไร”
ฉินซีก้มหน้าลง พูดอ้อมค้อมไปมา หาข้ออ้างให้กับตัวเอง “ฉันไม่ได้ทำภารกิจมานานแล้ว อยากจะรู้ว่ามันจะจบยังไง”
เธอไม่รู้ว่าข้อแก้ตัวที่เธอกำลังพูดออกไปนั้นมันน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะจ้านเซินไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย ถังย่าก็ก้มหน้ามาตลอด ไม่รู้ว่าเธอกำลังทำสีหน้าแบบไหน
เงียบไปชั่วครู่ จ้านเซินจึงเปิดปากพูด “ได้สิ รอให้รายงานออกมา ผมจะให้สำเนาคุณไปฉบับหนึ่งแล้วกัน”
ในขณะที่เขาพูดเขาก็เอี้ยวตัวเพื่อเดินไปข้างหน้าต่อทันที ฉินซีไม่พบความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา และก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็อยู่เหนือทุกสิ่งอย่าง เธอจะต้องทำเรื่องนี้ให้ได้
ขณะที่จ้านเซินเดินนำไปข้างหน้า ถังย่าก็เดินตามเขาไปติดๆ ปล่อยให้ฉินซีเดินรั้งท้าย เมื่อทั้งสามเดินออกมาจากฐานปฏิบัติการ จู่ๆจ้านเซินก็หยุดเดิน หันมาถาม “เธอก็อยากกลับไปสำนักงานใหญ่เหรอ?”
ฉินซีหยุดเดินด้วย รู้ว่าเขากำลังพูดกับถังย่า
“เปล่า” ถังย่ามักจะทำสีหน้าไร้อารมณ์ได้อย่างไม่มีที่ติ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้านเซิน “ฉันแค่จะเดินออกไปตามทางนี้ด้วยเท่านั้น”
“โอเค ถ้าอย่างนั้น เธอกลับไปเถอะ” จ้านเซินพยักพเยิดคางไปทางเธอ
ถังย่าพยักหน้า หมุนกายเดินจากไป
ฉินซีมองดูฉากนี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
เธอมองดูหลังของถังย่าค่อยๆเดินจากไป ก่อนเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
“อยากกลับด้วยเหรอ?” ทันใดเสียงของจ้านเซินก็ดังใกล้หูของเธอ
ฉินซีผงะด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบดึงสติให้กลับมาอย่างรวดเร็ว ถอยไปข้างหลังอย่างรักษาระยะห่างจากชายตรงหน้า “เปล่า ฉันแค่รู้สึกแปลกๆกับถังย่า”
จ้านเซินขำเบาๆ ภายในเสียงหัวเราะไม่มีความตลกเลยสักนิด “เธอแปลกยังไง”
นี่ก็เป็นเหมือนคำที่จ้านเซินใช้วิจารณ์ถังย่า
ต่อหน้าจ้านเซินเธอก็ทำตัวเหมือนเป็นเครื่องจักรที่มีชีวิต ทั้งเชื่อฟังคำสั่งและทำงานหนัก ดังนั้นในสายตาของเขา เธอจึงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนหุ่นยนต์
ไม่มีใครคอยปัดกวาดเครื่องยนต์และก็ไม่มีใครสนใจความรู้สึกนึกคิดของเธอ
ในตอนนี้ฉินซีเข้าใจแล้วว่า จ้านเซินไม่ได้ปัญญาอ่อน แต่แค่ … เขาไม่เคยมีความรู้สึกชายหญิงแบบทำนองนั้นให้ถังย่าเลย
ไม่มีใครคิดว่าไม้แขวนเสื้อที่มีประโยชน์ จะหันมาชอบตัวเอง
เมื่อคิดได้ถึงตอนนี้ ฉินซีก็รู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจ
แต่ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่ใช่ฮีโร่ที่จะมากู้โลก และไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับความรู้สึกของใครทั้งนั้น เธอจึงส่ายหัวในใจและเดินตามจ้านเซินต่อไปเท่านั้น
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เวลาก็เกือบจะสี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว
เมื่อคืนฉินซีนอนหลับดี แต่เธอก็ไม่อาจทนต่อความทรมานจากหลายๆ เรื่องของวันนี้ได้ ช่วงนี้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เมื่อจ้านเซินได้พักผ่อน อารมณ์ของเขาจัดว่าดีขึ้นมาก หลังจากเมื่อเครื่องบินบินขึ้นแล้ว เขาก็ทำสัญญาณส่งไปยังฉินซีเพื่อบอกให้เธอนั่ง ดูเหมือนว่าเขาอยากจะคุยกับเธอ
จริงๆแล้วเธออยากจะปฏิเสธ แต่ก็กลัวจ้านเซินจะสงสัย ทำได้เพียงนั่งลงตามเขาสั่งเท่านั้น
“ที่นี่ไม่มีใคร ไม่มีกล้องวงจรปิด เรามาคุยกันเถอะ เหมือนที่เธอคุยกับถังย่า”
จ้านเซินพูดด้วยท่าทีสบายๆ แต่ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ฉินซีอย่างใกล้ชิด
ฉินซีเข้าใจชัดเจน เขาคงได้รับแรงบัลดาลใจมาจากถังย่า เมื่อเห็นว่าเธอกับถังย่าคุยกันได้ถูกคอ เธอทั้งสองคนต่างไม่มีสัญญาลับ เขาก็คงคิดว่า ตัวเองและฉินซีก็คงพูดคุยเพื่อลดระยะห่างระหว่างกันได้บ้าง
แต่ความคิดแบบนี้มันไร้เดียงสาเกินไป
ความสัมพันธ์ระหว่างถังย่าและฉินซีเริ่มดีขึ้น แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่าย
ต่อหน้าเขาเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉินซีจะผ่อนคลายความประหม่าลงได้และเริ่มสนทนากันได้แบบสบายๆ ตามที่เขาพูด
เธอตึงเครียดตลอดเวลาที่คุยกับเขา ทั้งยังต้องคอยระวังคำพูดเพื่อไม่ให้มีอะไรไปขัดใจ
เธอเรื่องนี้มันทำให้เธอรู้สึกเหนื่อย ทำให้ไม่สามารถพูดคุยอย่างสนุกสนานกับใครได้ด้วย
ดังนั้นอารมณ์ของเธอก็ดูไม่ค่อยดีนัก และไม่ยอมที่จะเปิดปากเริ่มสนทนาก่อน
ในที่สุดจ้านเซินก็ทำลายความเงียบ
“หลังจากที่ไม่ได้ทำงานไปนาน รู้สึกยากขึ้นไหม?” น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายลงมาราวกับว่าเขาต้องการใกล้ชิดกับฉินซีให้มากขึ้น
แต่ฉินซีจะไม่ตกหลุมความความหลอกลวงนี้อีก ภายในใจของเธอยังคงรู้สึกอึดอัด ทว่าใบหน้ากลับดูผ่อนคลายอย่างเหลือเชื่อ “ไม่ยากเลยค่ะ ภารกิจนี้ง่ายกว่าอันก่อนมาก”
นี่เป็นเรื่องจริง
ถ้าหากฉินซีไม่ค้นพบความจริง และยังคงคิดว่าลู่เซิ่นต้องการแต่งงานกับเวินจิ้งจริงๆแล้วละก็ ภารกิจนี้ก็คงยาก เพราะเธอต้องทนแบกรับความหน่วงในใจ
ตอนนี้เธอเข้าใจความจริงทั้งหมดแล้ว เธอยังอยากที่จะขอบคุณจ้านเซินด้วยซ้ำที่ทำให้เธอได้พบเจอกับลู่เซิ่น ได้ฟังเขาอธิบาย และมีโอกาสที่จะได้แต่งงานกับเขา ก็เลยไม่คิดว่าภารกิจนี้จะยากอะไรนัก
ความรู้สึกของเธอมาจากความจริงในใจ ถึงแม้จ้านเซินจะพยายามมองลึกลงไปเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถมองเห็น เบาะแสใด ได้จึงทำได้เพียงมองเธอเงียบๆ ก่อนพยักหน้า “ใช่ เมื่อเทียบกับภารกิจก่อนๆ ก็ไม่ได้ยากอะไร”
ฉินซีทำแค่พยักหน้า
เธอรู้ว่าตอนนี้สายตาของจ้านเซินกำลังมองมาแบบไหน- เขากำลังประเมิน
แต่เดิมภารกิจนี้ก็เป็นบททดสอบสุดท้ายของฉินซี
ถ้าหากฉินซีสามารถผ่านไปได้อย่างสงบ จ้านเซินที่มองมาควรเห็นว่าฉินซีปล่อยวางเรื่องของลู่เซิ่นทั้งหมดได้แล้ว
และสิ่งที่เธอแสดงออกมาทั้งหมดในตอนนี้ ทำให้จ้านเซินได้ข้อสรุปที่น่าพอใจ เขายิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อความทรงจำส่วนใหญ่ของเธอกลับมาแล้ว ในระหว่างนี้ก็ฝึกฝนตัวเองเพื่อดึงทักษะเดิมกลับมาให้มากที่สุดแล้วกันถ้าอย่างนั้น ก็รับภารกิจเลย