บทที่ 1299 ไม่คาดคิด
หลินหยังไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงยังปรากฏตัวที่บริษัท
เมื่ออารองและอาสามออกไปจะเกิดความเคลื่อนไหวไม่มาก แต่ในฐานะพันธมิตร ผู้จัดการไม่น่าจะไม่รู้
แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ยังเข้าบริษัท
เขาสมองกลับหรือว่าบ้าไปแล้วกันแน่
หลินหยังไม่รู้เหมือนกัน
ในเวลานี้ ผู้จัดการทั่วไปรู้ว่าเขาไม่สามารถหลบหนีได้ เขาจึงทำได้แค่ลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนโค้งคำนับให้ลู่เซิ่น “ผมขอโทษ”
ลู่เซิ่นยิ้มจาง ๆ และโบกมือ “ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก ขอโทษตัวเองเถอะ”
ที่จริงแล้วแล้วผู้จัดการคนนี้ไม่ใช่แค่ได้รับการชื่นชมจากลู่เซิ่น เขาทำงานหนักโดยใช้ความพยายามของตัวเองมาโดยตลอด
จนถึงตอนนี้ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของเขาสูญเปล่าไปเพราะความโลภเล็กน้อยแค่นั้น
เขาควรจะพูดขอโทษตัวเองจริงๆ
ลู่เซิ่นไม่ใช่คนที่ใจดีแบบนั้น เขาอธิบายต่อสาธารณะถึงความพยายามของอารองและอาสาม และเน้นย้ำถึงบุคคลที่สามที่ถูกย้ายโดยเขา มันมีนัยยะอะไร
เขากำลังเชือดไก่ให้ลิงดู(หมายความว่าเตือนผู้อื่นด้วยการลงโทษคน ๆ เดียว )
ใครๆ ก็รู้ดี
แต่พวกเขาไม่กล้าพูดอะไร
ในอาณาจักรธุรกิจของตระกูลลู่ ลู่เซิ่นจะเป็นจักรพรรดิที่พูดคำไหนก็คำนั้น
หากต้องการอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ต้องปฏิบัติตามกฎ
ในตอนสุดท้ายของการประชุม ผู้จัดการออกไปจากห้องด้วยท่าทางที่สิ้นหวัง ใบหน้าของทุกคนดูจริงจัง แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงตกใจกับเหตุการณ์
คนสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่อารองหรืออาสาม แต่เป็นผู้ถือหุ้นสองคนและผู้จัดการใหญ่ของตระกูลสูที่ถูกขับไล่โดยลู่เซิ่น
พวกเขาก็รู้ ว่าคืนวันที่ตัวเองได้อยู่ในบริษัทลู่ซื่อ มันถึงจุดจบแล้ว
ถึงอย่างไร การกระทำของลู่เซิ่นก็ค่อนข้างคาดไม่ถึงไปนิด
เขาไม่ได้ตัดสินจากใครมาก่อนหลัง หรือมีความสัมพันธ์กันมาอย่างไร เขาตัดสินเพราะความสามารถ
เมื่อทุกคนรู้ว่าคนที่ไม่มีความสามารถจะถูกเตะออกไป บรรยากาศในบริษัทจากที่ดูหวาดผวาตลอดทั้งวันกลับดูขยันตั้งอกตั้งใจกันใหญ่
แต่มีเพียงหลินหยังเท่านั้นที่รู้ ว่าลู่เซิ่นก็ลงแรงไปเยอะเหมือนกัน
เขาไม่เพียงแค่ไม่ไปฮันนีมูน แต่ยังทำงานล่วงเวลาไปครึ่งเดือน โดยไม่กลับบ้าน ทานอาหารที่แม่บ้านทำมาให้เหมือนแมวดม ถึงแม้หลินหยังจะคิดว่าตัวเองมาบริษัทเช้าแค่ไหน แต่เมื่อเปิดประตูมา ก็จะเห็นลู่เซิ่นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานอย่างพร้อมเริ่มทำงานเสมอ
หลินหยังคิดว่าแบบนี้มันผิดปกติแล้ว
ดูเหมือนว่า หลังจากที่ลู่เซิ่นแต่งงาน มันจะเหมือนพันธกิจอะไรสักอย่างมากกว่า
ครั้งหนึ่งเขาเคยชื่นชอบบริษัทลู่ซื่อ แต่มันก็เหมือนมรดกมากกว่า เหมือนกับจะพิสูจน์ว่าบริษัทที่ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อจะได้รับการส่งเสริมต่อที่ดี ทำงานหนักเพื่อบริษัท
แต่ตอนนี้ลู่เซิ่นหมดหวังแล้ว
ดูเหมือนเขาจะแข่งขันกับบางสิ่งบางอย่าง พยายามอย่างหนักที่จะทำให้บริษัทใหญ่ขึ้นแข็งแกร่งขึ้นและได้รับการยอมรับมากขึ้น
– เป็นไปได้ไหม ที่จะได้รับความกดดันมาจากครอบครัว?
หลินหยังไม่รู้
เสียงของลิฟต์ดังขึ้น เรียกสติของหลินหยังกลับมา
ลู่เซิ่นมีอาการเหนื่อยล้าเล็กน้อยบนใบหน้า เขามองไปข้างหน้า คล้ายกลับไม่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของเขา
หลินหยังถอนหายใจ ตามลู่เซิ่นไปที่รถ
หลังจากรอให้คนขับเปิดประตูให้ลู่เซิ่นขึ้นไปนั่ง เขาค่อยตามเข้าไป
เขาสงสัยเกี่ยวกับการแต่งงานของลู่เซิ่น ไม่ใช่แค่ครั้งนี้
เรื่องทุกเรื่องตั้งแต่นั้นมา มันก็เพียงพอแล้วที่เขาจะสงสัย
ลู่เซิ่นแทบไม่ได้กลับบ้าน เขาออกไปดูงานแทบทุกที่ เมื่อหลินหยังเข้าไปเก็บของในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นชิงหยวนหรือบ้านใหญ่ตระกูลลู่
– ใช่ ตั้งแต่งานแต่งงานผ่านมา เขาไม่เคยเห็นเวินจิ้งอีกเลย
เมื่อตอนแรกๆ ที่เขาเคาะห้องด้านข้าง แต่ก็จะถูกสายตาเย็นชาของลู่เซิ่นจ้องกลับมา
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาจำเป็นต้องรู้
บางครั้งเขาก็สงสัยว่าลู่เซิ่นซ่อนคนไว้ที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อมองไปยังลู่เซิ่น มันไม่เหมือนกำลังนึกถึงเวินจิ้ง
เพราะเขาเคยเห็นลู่เซิ่นตามหาใครสักคนจริงๆ อย่างฉินซี เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่ลู่เซิ่นรักใครสักคน จะเป็นอย่างไร
สำหรับลู่เซิ่นในปัจจุบัน … เขาเหมือนโสดมากกว่าที่จะเป็นคนที่แต่งงานแล้ว
ไม่ว่าหลินหยังจะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้มากเพียงใด แต่เขารู้ดีว่าเขาจะไม่ได้รับคำตอบใด ๆ
ดูเหมือนจะเป็นความลับที่ลู่เซิ่นตั้งใจที่จะซ่อนไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางได้รู้
หลินหยังเงยหน้ามองลู่เซิ่นจากกระจกหลัง เขาไม่เห็นว่าชายหนุ่มจะทานของว่างเลยสักนิด แค่วางไว้ข้างๆ
เรื่องที่เวินจิ้งไม่อยู่ในชิงหยวน ก็เป็นเพราะพ่อบ้านที่นั่นบอกมา
เขากลับไปที่ชิงหยวนเพื่อช่วยลู่เซิ่นเก็บของในวันนั้น แต่ถูกพ่อบ้านรั้งไว้ก่อน
“ผู้ช่วยหลิน”ดวงตาของพ่อบ้านเต็มไปด้วยความห่วงใย “ช่วงนี้ประธานลู่เหนื่อยมากเลยใช่ไหมครับ?”
หลินหยังนึกไปถึงตารางงานที่แน่นขนัดของลู่เซิ่น ก่อนพยักหน้า “ใช่”
พ่อบ้านถอนหายใจ “เด็กคนนั้นไม่ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้านดีๆนานแล้วนะ”
หลินหยังย้อนนึกถึง “มันก็นานมาแล้ว”
สัปดาห์นั้น ลู่เซิ่นใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินมากกว่าบนพื้นดินเสียอีก
“ผู้ช่วยหลินครับ” พ่อบ้านพูดเสียงขรึม “ข้างกายของประธานลู่ไม่มีใคร ช่วยดูแลเขาหน่อยนะครับ ”
ความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในใจหลินหยัง
ลู่เซิ่นแต่งงานแล้วไม่ใช่หรือ จะไม่มีดูแลได้ยังไงกัน
แต่ความเป็นห่วงที่ฉายชัดผ่านดวงตาของชายชรานั้น ทำให้เขาได้แค่พยักหน้าตอบ “ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ครับ”
พ่อบ้านดูเหมือนจะโล่งใจ กล่าวขอบคุณหลินหยัง ก่อนจะออกไปส่งเขาด้วยตนเอง
ในใจของหลินหยังมีแต่คำถาม เมื่อขึ้นรถแล้วเขาจึงหันไปพูดกับพ่อบ้านก่อนไป “ระหว่างที่ลู่เซิ่นไม่อยู่ คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ อยู่ที่นี่คนเดียว ลำบากแย่ ”
เบ้าตาของชายชราเป็นสีแดงเล็กน้อย เขาก็พยักหน้าตอบรับ
หลินหยังรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเวินจิ้งไม่ได้อาศัยอยู่ในรีสอร์ทชิงหยวน
แต่เขารับปากกับพ่อบ้านแล้วว่าจะดูแลลู่เซิ่นให้ดี เขาไม่อาจผิดคำพูดได้ หลังจากนั้น เมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากพ่อบ้าน เขาจะคอยบอกให้ลู่เซิ่นกินเยอะๆ นอนเยอะๆ จู้จี้เหมือนแม่แก่ๆ คนหนึ่ง
จนลู่เซิ่นมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
หลินหยังจึงจำต้องสารภาพว่าทำเพื่อคุณพ่อบ้าน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
ลู่เซิ่นจึงจะละความสงสัยไว้ได้
เพียงแค่เมื่อหลินหยังบอกอะไร ลู่เซิ่นก็ใช่ว่าจะฟัง
เขายังคงกินน้อย พักผ่อนน้อย เข้าสังคมก็เหมือนไปเพื่อดื่มแอลกอฮอล์ ทำงานเหมือนกำลังเก็บเงินเผื่อคนทั้งโลก
บางครั้งเขาก็คิดถึงลู่เซิ่นตอนที่มีฉินซีอยู่ใกล้ๆ
ทันใดนั้น หลินหยังก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้