บทที่ 1301 ถ้า
“ประธานลู่” ประธานหวังไม่ได้สังเกตเห็นความว้าวุ่นของลู่เซิ่น ยังคงมองเขาอย่างด้วยความกระตือรือร้น
ในที่สุดหลินหยังกระซิบเตือนเบาๆ ว่า : “ประธานลู่ เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว”
ประธานลู่จึงจะดึงสติกลับมา
เขากะพริบตาและยิ้มให้ ประธานหวัง : “ฉันไม่แน่ใจว่าสัญญาจะหมดอายุเมื่อไหร่ แต่เมื่อต้องการ พวกเราจะประมูล ประธานหวังไม่ต้องกังวล”
ความหวังของประธานหวังหายไป ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรกับลู่เซิ่น ทำได้แค่พยักหน้า
ลู่เซิ่นยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ตอนนี้เลยเก้าโมงไปแล้ว
วันนี้เขากินข้าวเช้ามาแล้วอย่างดี ตอนนี้ท้องหิวจนรู้สึกสั่นเล็กน้อย
มาปรากฏตัวที่ตรงหน้าประธานหวังสักหน่อย จุดประสงค์สำเร็จแล้ว ก็ควรจะไปแล้ว
หลินหยังแสดงท่าทีแสดงออกว่าลู่เซิ่นยังมีตารางงานต่ออีก ทำให้ประธานหวังไม่กล้าพูดอะไร และส่งลู่เซิ่นออกไปด้วยความเคารพ
“เรียกหมอซุนมาที่บ้านหน่อย” ลู่เซิ่นสั่งงานหลังขึ้นรถโดยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลินหยังตกใจ : “ท่าน…ไม่สบายหรือ?”
ลู่เซิ่นไม่ตอบคำถามเขา ทำแค่โบกมือไปมา : “เอายาโรคกระเพาะที่เตรียมมาหน่อย”
แน่นอนลู่เซิ่นรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่เวลาที่ยุ่งขึ้นมาก็หาเวลาปลีกตัวไปกินข้าวไม่ได้ริง
หนึ่งปีก่อนที่ปล่อยฉินซีจากไปอย่างไม่มีทางเลือก ลู่เซิ่นก็สาบานกับตัวเองว่าเขาจะเข้มแข็งกว่าเดิม
ถ้าตอนนั้นบริษัทลู่ซื่อยิ่งใหญ่มากพอที่จะต่อสู้กับองค์กรของฉินซี เขากับฉินซีก็ไม่จำเป็นต้องมาทนต่อการแยกย้ายจากกันแบบนี้ เขาก็สามารถมีเธอข้างตัวได้อย่างเปิดเผย
ดังนั้นหนึ่งปีมานี้ ความพยายามของเขาทั้งหมดเพื่อให้บริษัทลู่ซื่อแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
วันหนึ่งถ้าบริษัทลู่ซื่อสามารถต่อสู้เทียบเท่ากับองค์กรได้ งั้น…ฉินซีก็อาจจะได้กลับมาสิน่ะ?
ลู่เซิ่นไม่กล้ายืนยัน ได้แต่กอดความหวังนี้ไว้
หนึ่งปีมานี้ ใช่ว่าเขากับฉินซีไม่เคยเจอกัน แต่ทุกครั้งที่เจอกันจะเป็นตอนที่ฉินซีออกมาทำภารกิจ โอบกอดกันอย่างเร่งรีบเพียงหนึ่งคืน ราวกับเขากับฉินซีไม่ใช่สามีภรรยากันอย่างถูกต้อง แต่เหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ลู่เซิ่นจะทนกับเรื่องแบบนี้ไปตลอดได้ยังไง
เขาอยากจะโอบกอดฉินซีในคืนนี้
แต่ความจริงแล้ว ครั้งล่าสุดที่เจอกับฉินซีเป็นเรื่องราวของเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
หนึ่งเดือนเต็ม สามสิบวันสามสิบคืนเต็มๆ ที่ไม่มีฉินซีอยู่ข้างๆ ไปด้วยกัน
ลู่เซิ่นคิดไม่ถึงว่าการแยกจากกันอย่างทรมานนี้จะเทียบได้กับการไม่ได้รับข่าวคราวของฉินซีเมื่อสามเดือนก่อนได้เลย
เพราะความจริงแล้ว เขายังไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับฉินซีเลย
ปกติแล้วฉินซีไม่มีทางติดต่อเขาได้ เขาจะทราบเบาะแสของฉินซีล่วงหน้าเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
กระทั่งบางครั้งสองคนได้แค่แอบกอดกันในมุมเงียบๆ ของสนามบินเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
“หมอซุนบอกว่าถึงแล้ว” เสียงของหลินหยังขัดจังหวะความคิดของเขา
ลู่เซิ่นพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองได้ยินแล้ว
เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ทชิงหยวนหมอซุนมารอแล้วสักพัก
สอบถามอาการของลู่เซิ่น คิ้วขมวดกันยกใหญ่ จัดยาไว้ให้และกลับไป
หลินหยังดูไม่ออกว่าลู่เซิ่นได้ฟังที่หมอพูดไหม เขาอ้าปากค้างอย่างลังเล ในที่สุดก็ตัดสินใจเสนอความเห็นอย่างกล้าหาญ “ประธานลู่ งานเลี้ยงที่เมืองหนานห้าวันหลังจากนี้…”
ความกล้าของเขาหายไปตอนที่ประธานลู่กวาดสายตามา
ดีที่เขาไม่ยืนหยัดที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดให้จบ ไม่งั้นเขาโดนลู่เซิ่นหักเงินเดือนไปครึ่งเดือนโดยไม่รู้อะไรเลย
“เรื่องที่จัดการไว้ดีแล้ว อย่าเปลี่ยนตามใจชอบ” ลู่เซิ่นพูดทิ้งไว้หนึ่งประโยค และลุกเดินขึ้นไปด้านบน
……
ห้าวันสำหรับลู่เซิ่นแล้วเวลาผ่านไปไวมาก ขณะที่เขาจัดการกับธุระต่างๆ ตามปกติเวลาก็ผ่านไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าห้าวันนี้สำหรับฉินซีแล้วยากแค่ไหน
เธอต้องทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าจ้านเซิน ต้องซ่อนความดีใจของตัวเองไว้จนไม่สามารถมองออกได้ ต้องเตรียมสำหรับภารกิจครั้งนี้ให้ดี และยังต้องดูแลตัวเอง
ระยะห่างประมาณหนึ่งเดือนกับการเจอกับลู่เซิ่นครั้งก่อน ความคิดถึงที่เธอมีให้ลู่เซิ่นไม่น้อยกว่าลู่เซิ่นมีให้เธอ
หลังจากกลับมาที่องค์กร นี้เป็นภารกิจแรกที่ฉินซีรอคอย เวลาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แต่ไม่ว่าเธอจะกังวลแค่ไหน เวลายังคงผ่านไปอย่างปกติไม่เร่งรีบ
กระทั่งถึงวันที่เธอออกเดินทางไปเมืองหนาน
จ้านเซินก็มีธุระของตัวเองที่ต้องทำ ไม่สามารถรับส่งฉินซีได้ทุกครั้ง ความจริงแล้ว เขารับส่งด้วยตัวเองแค่หน้าที่ในงานแต่งงานเมื่อหนึ่งปีก่อนเท่านั้น ครั้งอื่นๆ ก็แค่ทางผ่านเท่านั้น
น่าเสียดายครั้งนี้เขาเองก็ต้องออกจากสำนักงานใหญ่ แต่เส้นทางของเขากับฉินซีกลับกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงทำได้แค่มองดูฉินซีขึ้นเครื่องบินไป
เมื่อแผ่นหลังของฉินซีหายไปตรงทางเดินขึ้นเครื่องบิน เปลือกตาของจ้านเซินกระตุกขึ้นมา เหมือนเป็นลางบอกเหตุไม่ดี
แต่จ้านเซินไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาได้แค่มองอยู่ไม่นานและหันหลังจากมา
……
ขณะเดียวกัน ลู่เซิ่นมาถึงเมืองหนานแล้ว
ครั้งก่อนที่หมอซุนมาและจัดยาไว้ให้ หลายวันมานี้เขาไม่ทรมานเพราะปวดท้องอีกแล้ว
แต่หลินหยังกลับไม่รู้สึกว่าอารมณ์เขาจะดีจะขึ้นสักนิดเลย
“ประธานลู่ นี้คือตารางงานสองวันหลังจากนี้” หลินหยังส่งของให้ลู่เซิ่น โทรศัพท์ของคนที่อยู่ด้านหลังกลับสั่นขึ้นในเวลาเดียวกัน
ในฐานะที่หลินหยังเป็นผู้ช่วยของลู่เซิ่น มั่นใจว่าเสียงเตือนข้อความเข้าของลู่เซิ่นก่อนหน้านี้ไม่ใช่เสียงนี้
หรือจะบอกได้ว่า เสียงเตือนข้อความเข้าของคนอื่นๆ ไม่ใช่เสียงนี้
งั้น คนที่ส่งข้อความมาเป็นใคร ถึงได้มีเสียงเตือนข้อความเข้าที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ ในโทรศัพท์ของลู่เซิ่น?
หลินหยังแปลกใจเล็กน้อย แต่ความเป็นมืออาชีพของเขาทำให้เขาไม่ก้มไปที่โทรศัพท์ของลู่เซิ่น อีกทั้งลู่เซิ่นเองก็ไม่เปิดโอกาสให้เขามองด้วย
เขาก้มลงกวาดตามองหน้าจอ และเก็บกลับไป
แต่หลินหยังสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างชัดเจน
ลู่เซิ่นอารมณ์ดีมาก
เขาคิดไม่ออกมาว่าจะมีใครแค่ส่งข้อความมาหนึ่งข้อความสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของลู่เซิ่นได้ โดยเฉพาะยิ่งเห็นท่าทางของลู่เซิ่น ข้อความนั้นน่าจะไม่ยาวมาก
ความแปลกใจในใจหลินหยังมากยิ่งขึ้น และคำพูดหลังจากนี้ของลู่เซิ่นกลับทำให้เขาสับสนยิ่งขึ้น
“เลื่อนวันไปล่องเรือเร็วขึ้นอีกวัน” ลู่เซิ่นกวาดตามองตารางงานที่เขาส่งให้ และออกปากสั่งงาน
หลินหยังรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย
ลู่เซิ่นไม่ชอบสถานที่ล่องเรือตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะไม่ว่าห้องโดยสารจะหรูหราแค่ไหน ก็มีขนาดเล็กจนเทียบไม่ได้กับห้องพักบนบก อีกอย่างปกติแล้วการล่องเรือไม่มีอะไรพิเศษ ทั้งหมดก็แค่กิจกรรมเพื่อความบันเทิง และความบันเทิงเหล่านั้นสำหรับลู่เซิ่นในปีนี้แล้ว “เสียเวลาทั้งนั้น”
หลินหยังไม่เข้าที่เขาเปลี่ยนความสนใจกะทันหัน แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า เสียงเตือนข้อความเข้าพิเศษของคนในความลับ ข้อความนั้นต้องมีความสัมพันธ์กับลู่เซิ่นอย่างแน่นอน