บทที่ 1317 บังเอิญเจอ
ถ้าหากฉินซีสามารถมองเห็นสีหน้าอารมณ์ของทั้งคู่ อย่างน้อยก็คงจะไม่มีอาการหึงหวง
เพียงแต่น่าเสียดายมุมที่เธอยืนนั้นไม่สามารถมองเห็นถึงสีหน้าอารมณ์ของทั้งสองได้ มองจากในมุมของเธอ ลู่เซินที่ไม่พูดไม่จา ราวกับนั่งฟังอย่างตั้งใจ ส่วนเวินจิ้งก็พูดไม่หยุดเหมือนกับว่ากำลังเป็นห่วงเป็นใย
จนในที่สุดเธอทนต่อไปไม่ได้ จึงได้กระแอมเสียงในลำคอเบาๆ
“…..ฉันจะเอาเมนูรายการอาหารให้กับพ่อครัวของคุณ หลังจากที่คุณกลับไปแล้ว ——” เวินจิ้งที่กำลังจะพูดจบ อยู่ๆลู่เซิ่นก็เงยหน้าขึ้น แล้วขัดจังหวะเธอไม่ให้พูดต่อ
“ทำไม” เวินจิ้งขมวดคิ้ว “ฉันใกล้จะพูดจบแล้ว”
ลู่เซิ่นกลับไม่สนใจในสิ่งที่เธอพูด ยกมือขึ้นเพื่อบอกให้เธอหลบไปข้างๆ แล้วก็ชะโงกหัวออกไปมองทางประตู
เวินจิ้งที่ไม่เข้าใจ แต่ก็หลบตัวไป
ที่ประตูมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่
รูปร่างผอมสูง สวมเสื้อเชิ้ตที่พอดีตัวและใส่กางเกงหลวมๆ แม้ว่าจะยืนอยู่ตรงนั้น ฉินซีก็สามารถจำภาพลักษณะท่าทางการเดินของเธอได้
เพียงแต่ที่ที่เธอยืนอยู่นั้นเป็นที่ย้อนแสง เวินจิ้งจึงเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้ไม่ชัดเจน
คือใคร
เวินจิ้งยังไม่ทันได้คำตอบของคำถามนี้ ลู่เซิ่นก็ลุกขึ้นทันใด แล้วเดินอ้อมเธอไปที่ประตู : “ฉินซี คุณมาแล้วเหรอ”
เวินจิ้งเข้าใจทันทีว่านี่ต่างหากคือภรรยาที่แท้จริงของลู่เซิ่น
ถ้าเท้าความแล้ว เวินจิ้งไม่เคยเจอกับฉินซี ไม่รู้ว่านี่เป็นการวางแผนของลู่เซิ่นหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายหรือตัวจริง เธอก็ไม่เคยเจอ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทำให้เวินจิ้งเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้น ไม่รู้ภรรยาตัวจริงคนนี้มีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ที่สามารถทำให้ลู่เซิ่นรักอย่างหัวปักหัวปำ
แต่เธอยังไม่ทันได้เดินเข้ามาเพื่อสำรวจฉินซี ลู่เซิ่นก็ได้ยืนบังเธอ แล้วหันมาพูดกับเธอ : “คุณบอกว่าจะเอาเมนูรายการอาหารไปให้พ่อบ้านใช่ไหม อย่างนั้นก็รีบไปเถอะ”
เวินจิ้งถูกย้อนขึ้น น้ำเสียงการไล่แขกของลู่เซิ่นนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน และเธอก็ไม่มีหน้าที่จะอยู่ต่อไปได้อีก ทำได้เพียงชำเลืองมองฉินซีแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้เธอเพื่อเป็นการทักทาย จากนั้นก็จากห้องผู้ป่วยไป
ลู่เซิ่นมองดูเวินจิ้งเดินออกจากประตูห้องไปแล้ว ถึงได้หันมองมาทางฉินซีที่แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม : “ในที่สุดคุณก็มาแล้ว”
ฉินซีกลับยังคงล่องลอย ยังคงมองไปตามทางที่เวินจิ้งเดินจากไป จนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น : “นั่นคือ…..เวินจิ้งเหรอ”
ลู่เซิ่นชะงัก
ไม่เพียงแต่เวินจิ้งที่ไม่เคยเห็นฉินซี ฉินซีเองก็ไม่เคยเห็นเวินจิ้งเช่นกัน แล้วทำไมเธอถึงเดาออกได้
ถึงแม้ว่าประโยคของฉินซีจะเป็นประโยคคำถาม แต่ว่าน้ำเสียงนั้นค่อนข้างมั่นใจ ราวกับว่าเธอรู้จักเวินจิ้ง
จะปฏิเสธในเวลานี้ก็คงไม่มีประโยชน์ ลู่เซิ่นจึงพยักหน้า มองดูสีหน้าหม่นหมองของฉินซี แล้วคิดได้ว่าฉินซีไม่เคยเห็นเวินจิ้งมาก่อนนิ
——ฉินซีเคยเห็นจากกล้องวงจรปิดที่จ้านเซินใช้ใส่ร้ายว่าเขานอกใจ
ลู่เซิ่นจึงเก็บความแค้นไว้ในใจ แต่การแสดงออกของเขายังคงเพิกเฉย และก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างใจเย็น : “อย่ายืนอยู่แต่ที่ประตูเลย รีบเข้ามานั่งเถอะ”
ฉินซีพยักหน้า สีหน้าบนใบหน้าทำให้ดูไม่ออกว่าเธอนั้นคิดอะไรอยู่ แต่ก็เดินตามเข้ามาพร้อมกัน
ลู่เซิ่นยื่นมือไปห้อยขวดน้ำเกลือไว้ที่เดิม จากนั้นให้ฉินซีนั่งลงบนโซฟา
การกระทำของลู่เซิ่นเบี่ยงเบนความสนใจของฉินซี ทำให้เธอต้องเก็บความสงสัยที่มีอยู่ในใจไว้ชั่วคราว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “ทำไมยังต้องให้น้ำเกลืออีก ไหนบอกว่าดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ”
ลู่เซิ่นยิ้มเบาๆแล้วพยักหน้า : “โรคกระเพาะนั่นแหละ ก็ผมมาโรงพยาบาลทั้งที คุณหมอเหล่านั้นคงอดใจไม่ไหว แทบอยากจะจับผมฉีดยาเท่าที่จะทำได้มั้ง”
ไม่มีรอยยิ้มผุดที่ใบหน้าของฉินซี เธอยื่นไปกุมมือซ้ายของลู่เซิ่น เพราะการหยอดน้ำเกลือนานๆจะทำให้มือรู้สึกเย็น สายตาก้มลง พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย : “ต่อไปอย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก”
ลู่เซิ่นยื่นมือขวาไปแตะที่มือของเธอ แล้วพูดขึ้น : “มีคุณอยู่ข้างๆ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก”
…..นี่หมายความว่า ถ้าฉินซีไม่อยู่ เขาก็จะทำแบบเดิมอย่างนั้นสิ
ฉินซีจ้องเขาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมเขาตอนนี้ แหงนหน้ามองขวดน้ำเกลือที่ยังเหลืออยู่ประมาณครึ่งขวด จึงได้ถามขึ้น : “คุณให้น้ำเกลือมาทั้งวันเลยเหรอ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า : “ครับ”
ขอเพียงแค่หันเหความสนใจของฉินซีได้ เขาก็ยินยอมที่จะแกล้งแสดงความอ่อนแอออกมา
“เมื่อวานคุณบอกว่าจะมาหา ผมก็เลยไม่รีบร้อนออกจากโรงพยาบาล จนทำให้คุณหมอเหล่านั้นมาหยอดน้ำเกลือให้อีก” มุมปากลู่เซิ่นเผยอเล็กน้อย คล้ายกับเป็นการพร่ำบ่นให้ฉินซีฟัง
ฉินซีรู้สึกเป็นห่วงจริงๆ จึงได้จับมือของลู่เซิ่นอย่างแน่น
แต่ฉินซีกลับสะดุดอยู่กับสองคำ“คุณหมอ” ที่ลู่เซิ่นพูดซ้ำไปซ้ำมา
เป็นคุณหมอท่านไหนกัน เป็นหมอประจำตัวหรือว่า…..เวินจิ้ง
ฉินซีบอกกับตัวเองในใจว่าต้องมีเหตุผล แต่ก็อดคิดไม่ได้กับภาพที่เวินจิ้งอยู่ที่นี่
เวินจิ้งมาที่นี่ทำไม ถ้าหากว่าเวินจิ้งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเขา อย่างนั้นทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันทั้งวันใช่ไหม
ถ้าหากว่าไม่ใช่…..อย่างนั้นเธอมาปรากฏตัวที่นี่ทำไม ดูแลเขาเหรอ แล้วคนรับใช้ล่ะ หลินหยังล่ะ ทำไมต้องเป็นเธอที่ดูแล
แล้วที่เขาให้น้ำเกลือมาทั้งวันแบบนี้ ใช่เวินจิ้งหรือเปล่าที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ
ฉินซียิ่งบอกให้ตัวเองอย่าคิดมาก ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะเดาไปต่างๆนานา คำถามที่วนอยู่ภายในใจราวกับลาวาที่กลิ้งไปมา และฟองอากาศก็ค่อยๆผุดขึ้น จนทำให้จิตใจเธอถึงกับร้อนรุ่ม
เธอก็รู้ดีว่าความสงสัยของตัวเองที่มีในตอนนี้ดูไม่ค่อยมีเหตุผล มนุษย์ย่อมเป็นสัตว์ที่มีอารมณ์มีความรู้สึก และสามารถควบคุมด้วยความคิดของตัวเอง
เมื่อคิดไปคิดมา ในที่สุดเธอหันหน้ามาสบตากับลู่เซิ่น แล้วพูดขึ้น : “เมื่อสักครู่เวินจิ้งมาที่นี่…..ทำไม”
เห็นได้ชัดเจนว่าความตกใจได้แวบเข้าสู่ดวงตาของลู่เซิ่น ซึ่งฉินซีก็เห็นเข้าพอดี
“คุณหมอประจำตัวของผมมอบหมายให้เธอมา” ลู่เซิ่นชะงักไปสองสามวินาที ก่อนที่จะตัดสินพูดความจริงออกมา
จากประสบการณ์ครั้งก่อน ทำให้เขาพอจะเข้าใจได้ว่า ต่อให้ถ้าปิดบังแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจสามารถทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนสองคนได้
เขาไม่อาจที่จะให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นซ้ำซ้อนได้อีก
เพียงแต่สีหน้าของฉินซีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาแล้วนั้น ถึงกับค่อยๆหม่นลง
“คุณหมอประจำตัว…..ให้เธอมาอย่างนั้นเหรอ” ฉินซีพูดซ้ำเบาๆ แล้วเงยหน้ามองลู่เซิ่น “เขารู้ไหมว่าเวินจิ้งเป็นภรรยาของคุณแค่ในนาม”
ลู่เซิ่นตอบรับคำของเธอที่ดูเหมือนจะอ่านความคิดทั้งหมดของตัวเองได้จากแววตา จึงยากที่จะโกหกได้ ทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
ฉินซีจึงกะพริบตา
แท้ที่จริงแล้วเธอนั้น…..ห่วงใยลู่เซิ่นมากกว่าที่เธอคิด
แม้ว่าก่อนการแต่งงาน ลู่เซิ่นได้บอกฉินซีอย่างชัดเจนแล้วว่า เวินจิ้งจะเป็นภรรยาในนามแทนเธอ
ในตอนนั้นฉินซีไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ แต่หนึ่งปีให้หลัง ฉินซีก็ไม่มีโอกาสรับรู้ว่าเรื่องนี้นั้นร้ายแรงเพียงใด
แต่ว่าตอนนี้เธอนั้นเข้าใจได้ในทันที