บทที่ 1333 อันไหนมาก่อน
เมื่อจูบเธอเสร็จ เปลวไฟในดวงตาของลู่เซิ่นกลับเริ่มปะทุขึ้น ฉินซีวาดวงแขนไปโอบรอบคอของเขาอย่างช้าๆ
ไม่มีใครพูดอะไร แต่บรรยากาศรอบห้องกลับค่อยๆร้อนแรงขึ้น
ทั้งสองคนกอดกัน ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในห้องนอน
…
กว่าจะเสร็จก็บ่ายไปเที่ยงคืนแล้ว
เมื่อตอนที่ทั้งสองเข้าไปอาบน้ำ ก็ทำกิจกรรมของคู่รักกันอีกครั้ง มันทำให้ฉินซีเพลียมาก ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความง่วง “ไม่ว่าจะเช้าหรือค่ำคุณก็วุ่นวายจริงๆเลยนะ”
ลู่เซิ่นโอบกอดเธอจากทางด้านหลัง ก่อนโน้มตัวไปข้างหน้าและจูบเธอด้วยรอยยิ้มเบาๆ “ก่อกวน มากกว่าหนึ่งครั้งต่อวัน”
ฉินซีง่วงนอนมาก เธอใช้เวลาหลายวินาทีในการประมวลผลว่าลู่เซิ่นกำลังพูดว่าอะไร เธอบีบมือของเขา แต่สักพักก็วูบหลับไป
ลู่เซิ่นยิ้มบาง พลางจูบหน้าผากเธอเบาๆ แล้วหลับตามเธอไป
…
เมื่อฉินซีลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันเสียแล้ว
ลู่เซิ่นตื่นเร็วกว่าเธอ เมื่อเขาเห็นฉินซีลืมตาขึ้น เขาจึงค่อยๆจูบเธอตรงระหว่างคิ้วอย่างนุ่มนวล “อรุณสวัสดิ์”
ฉินซีตอบเขากลับ ยื่นมือจะไปคว้าโทรศัพท์ จึงเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาที่สายแล้ว
โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่งั้นถ้ากลับไป … ไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
ทั้งสองคนนอนเล่นกันอยู่บนเตียงสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นมาทานอาหารกัน
หลินหยังเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ เขาเกือบจะตาพร่าไปกับบรรยากาศสีชมพูหวานแหวของสองคนนี้
หลังอาหารกลางวัน ลู่เซิ่นต้องจัดการกับเอกสารของ บริษัท ส่วนฉินซีเองก็มีธุระของเธอที่ต้องจัดการ แต่ทั้งสองคนกลับไม่ต้องการที่จะพูดถึงมันให้ต่างคนฟัง ทำเพียงแค่นั่งในห้องโถงของห้องพัก อีกคนหนึ่งถือแท็บเล็ต ส่วนอีกคนนั่งอ่านเอกสาร ยุ่งวุ่นวายกับงานของตัวเอง ทว่ากลับดูกลมกลืนกันอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อฉินซีเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดลงแล้ว
“ผมสั่งอาหารเย็นแล้ว อีกเดี๋ยวคงมาเสิร์ฟแล้วล่ะ” เสียงของลู่เซิ่นดังขึ้นข้างหูของฉินซี เขาค่อยๆยืนมือมานวดให้เธอเบาๆ “หลับตาพักผ่อนหน่อย ตาล้าแล้ว”
ฉินซีหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง รอจนเขานวดเสร็จจึงค่อยลืมตาขึ้น
สีหน้าของลู่เซิ่นยังคงแข็งกระด้างเมื่อมองจากมุมนี้ ทว่าดวงตาที่มองสบลงมาที่เธอมันอบอุ่นเหลือเกิน
จะดีแค่ไหน ถ้าได้ทำแบบนี้ทุกวัน?
ทุกวินาทีที่เธออยู่กับลู่เซิ่น เธอจะคิดอย่างนี้เสมอ
มันเป็นเพียงสิ่งที่เธอต้องการ แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะได้รับ
ฉินซีลดสายตาลง ข่มความรู้สึกนี้ไว้ในใจ เธอเงยหน้าก่อนยิ้ม “ทำไมอาหารเย็นไม่มาสักที หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
ลู่เซิ่นยิ้ม
แสงสุดท้ายที่ขอบฟ้าพลันหายไป แต่ฉินซีก็ยังเห็นรอยยิ้มของเขา
…
เธอใช้เวลาทั้งอาทิตย์กับลู่เซิ่น จนกระทั่งถึงคืนวันอาทิตย์ แม้จะไม่อยากจะแยกจากกัน แต่อย่างไรก็ทำไม่ได้
ลู่เซิ่นขับไปส่งเธอ ทั้งสองนั่งกันอยู่ในรถประมาณสิบนาที ในที่สุดฉินซีก็ลงมาจากยานพาหานะ ปากสวยบวมเจ่อเล็กน้อย
ลู่เซิ่นรอให้ไฟห้องเธอสว่างขึ้น ก่อนจะโบกมือผ่านหน้าต่าง และขับรถออกไป
และในขณะเดียวกัน โทรศัพท์ของเธอกลับดังขึ้น
ฉินซีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนก้มลงไปมอง มันเป็นชื่อที่เธอไม่ได้เห็นมานานแล้ว
—— จ้านเซิน
ฉินซีสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกดรับ
จ้านเซินวิดีโอคอลมาหาเธอ
เมื่อมองไปที่หน้าจอ เธอจึงตระหนักได้ว่า ไม่ได้เจอจ้านเซินมานานแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับจ้านเซิน คือตอนที่เธอประกาศว่าจะไปรับหน้าที่ดูแลสาขาที่เมืองหนาน
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ฉินซี” น้ำเสียงของเขายังคงต่ำ ดวงตาที่มองผ่านวิดีโอมา ราวกับว่ามานั่งข้างๆฉินซี
เวลาที่จ้านเซินโทรมาดูเหมือนจะบังเอิญไปสัก ฉินซีเพิ่งจะส่งลู่เซิ่นเมื่อตะกี้ ต้องกังวลเรื่องปากที่บวมเจ่อขึ้นมา ทั้งยังสงสัยด้วยว่าจ้านเซินรู้อะไรมาหรือเปล่า ถึงต้องโทรมาหาเธอเวลานี้ เธอบังคับตัวเองให้ต้องสงบอารมณ์ลง ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ที่เมืองหนานเป็นยังไงบ้าง” จ้านเซินดูเหมือนกับว่าอยากจะพูดคุยกับเธอ จึงเปิดหัวข้อนี้ขึ้นมาสนทนา
ฉินซีไม่ได้อยากที่จะคุยกับเขาเลยสักนิด แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เขาเกิดสงสัยอะไรขึ้นมา จึงทำได้เพียงตอบไปอย่างใช้หัวคิดที่สุด
“ไม่มีอะไรมากมายหรอก มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ยังต้องจัดการ… ”
เธอพูดเหมือนกับเขาเหมือนรายงานข้อมูลเวลาประชุมไม่กี่นาที ก่อนจะหยุดลง แต่สายตาของจ้านเซินที่มองผ่านวิดีโอมากลับยิ่งดูลึกซึ้งขึ้น
ฉินซีไม่สามารถบอกได้จริงๆว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจฟังเนื้อหาที่เธอเพิ่งพูดออกไป หรือแค่ถามเพียงเพราะอยากได้ยินเสียงของเธอ
“ปรับตัวได้ก็ดีแล้ว ยังไงเธอก็มาจากประเทศF ลมฟ้าอากาศของเมืองหนานกับประเทศF มันไม่เหมือนกัน” จ้านเซินพูดสบายๆเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
ฉินซีรู้สึกได้ถึงการหลอกถามบางอย่างจากน้ำเสียงของเขา
ดังนั้นเธอจึงระมัดระวังคำพูดของเธอมากขึ้น “ดีเลยทีเดียว อยู่ที่ไหนมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
จ้านเซินถามเธออีกสองสามคำถาม ไม่รู้ว่าฉินซีคิดมากไปเองหรือเปล่า บางทีจ้านเซินอาจจะแค่อยากคุย แต่เธอมักรู้สึกเสมอว่าภายในคำพูดของเขามันมีอะไรแอบแฝงอยู่ ดังนั้นคำตอบที่พูดออกไปจึงต้องระวัง
จ้านเซินสัมผัสได้ถึงความระมัดระวังตัวเองของเธอ ถามไปไม่กี่คำถามก็หยุดลง ก่อนจะจ้องมองมายังเธอที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์ “ตอนกลางคืนก็กินอาหารรสอ่อนๆหน่อยแล้วกัน มันไม่ดีต่อผิวของคุณ”
ฉินซีเกือบจะตอบสนองออกไปทันทีที่เขาพูดจบ … ปากของเธอ จริงๆแล้วถูกสังเกตโดยจ้านเซิน
เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมามีนัยยะอะไรหรือไม่ หรือแค่เป็นห่วงเธอจริงๆ จึงทำได้เพียงพยายามตอบกลับไปโดยไม่แสดงพิรุธอะไรทั้งนั้น “อืม รู้แล้วน่า”
จ้านเซินกำชับเรื่องงานไม่กี่ประโยค ก่อนจะวางสาย
เมื่อเห็นหน้าจอดับสนิท เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เธอใช้เวลาคุยกับเขาเพียงแค่สิบนาที แต่มันยาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง
เมื่อวางโทรศัพท์ลง ฉินซีมีความคิดถึงลู่เซิ่นขึ้นมาอย่างมาก
เธอรู้ว่าจ้านเซินคิดอย่างไรกับเธอ แต่เธอไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับเขาเลย
ไม่มีทั้งความรักและความเกลียดชัง
ความเกลียดชังก็ต้องการน้ำหนัก เธอไม่ต้องการสิ้นเปลืองความรู้สึกไปกับจ้านเซิน เขาก็แค่ ‘คนอื่นๆ’ ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ไม่ได้อยู่ในความทรงจำ ไม่เจอกันสามอาทิตย์เต็มๆ ก็ไม่เคยนึกถึงขึ้นมา จะนึกถึงก็ตอนที่เขาโทรมาก็เท่านั้น เหมือนกับว่า อ๋อ ชีวิตของฉันก็มีคนคนนี้อยู่ด้วยสินะ
คนที่เธอดันไม่อยากให้ความสำคัญ กลับทำให้เธอมีอิสระน้อยที่สุด
ดีที่เขาไม่ได้รุกหนักเธอมากนัก ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้ คืออดทน
ช่วงเวลาที่ไม่สามารถอดทนต่อไปได้กับช่วงเวลาที่จะได้รับการปลดปล่อย อันไหนจะมาก่อนกัน
เธอก็ไม่อาจรู้