บทที่ 1331 คุณอยากเต้นรำไหม
ลู่เซิ่นหยุดไปชั่วครู่เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขายกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นมาจิบ มองตรงไปยังฉินซี เหมือนเธอเป็นแรงกระตุ้นให้เขาพูดต่อ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลก
“เมื่อหนานกงเจ๋อายุ16ปี เขาไปพักผ่อนที่ Long Islandในวันหยุด ตัวเองฝึกทำค็อกเทลรสชาติใหม่ รอให้พี่ชายของเขามาชิม ไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่ได้เจอกับพี่ชายอีกเลยตลอดชีวิต”
เมื่อเสียงของลู่เซิ่นจบลง ฉินซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “พี่ชายของเขา … ”
“ระหว่างทางไป Long Island เครื่องบินได้เกิดระเบิดขึ้น สืบหาความจริงกลับพบว่าศัตรูของตระกูลหนานกง ติดตั้งระเบิดบนเครื่องบินและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระเบิด” ลู่เซิ่นพูด
ฉินซีเม้มปาก
ลู่เซิ่นเคาะแก้วเหล้า “ เหล้าแก้วนี้ได้รับการปรับปรุงจาก หนานกงเจ๋ ลองไอส์แลนด์ไอซ์ที เมื่อลิ้มรสจะเหมือนเครื่องดื่ม ปกติ แต่มันกลับเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง จริงๆแล้วเขาคิดจะแกล้งพี่ชายที่เย็นชาของเขา ให้ลองดื่มมัน อยากจะเห็นว่าถ้าเขาได้รู้ว่ามันคือเหล้าจะมีท่าทางยังไง เขายังตั้งใจที่จะเพิ่มรสหวานเข้าไป เพื่อไม่ให้รู้รสแอลกอฮอล์ ไม่คิดเลยว่า จะไม่มีโอกาสให้พี่ชายได้ชิมอีกต่อไปแล้ว”
มือของฉินซีบีบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รัก … เธอรู้ดีกว่าใคร
“เครื่องบินของพี่ใหญ่ระเบิดในตอนเย็น หนานกงเจ๋จึงตัดสินใจตั้งชื่อไวน์แก้วนี้ว่าค็อกเทลลองไอส์พระอาทิตย์ตก แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่เราทุกคนรู้ดีว่าเขาตำหนิตัวเองเรื่องการตายของพี่ใหญ่ ว่าถ้าตอนนั้นหากเขาไม่ดื้อรั้นจะไปเกาะนั่น ห้ามไม่ให้พี่ใหญ่ไป พี่ใหญ่ก็คงไม่บินไฟลท์นั้นและประสบอุบัติเหตุ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่ผสมเหล้าอื่นใหม่ๆอีกเลย แต่เดินตามรอยของพี่ชาย จนกลายเป็นหัวหน้าของตระกูลหนานกง” น้ำเสียงของลู่เซิ่นทุ้มต่ำ
ฉินซีมองไปยังแก้วเหล้าตรงหน้าเขา
ค็อกเทลลองไอส์พระอาทิตย์ตก
เมื่อลิ้มรสจะได้กลิ่นหวานหอม แต่เมื่อไหลลงกระเพาะกลับเป็นเหล้าที่แรง มันเคยเป็นชีวิตของหนานกงเจ๋เมื่อไหร่กัน
ความสุขช่วงไม่กี่สิบปีเหล่านั้น เบื้องหลังกลับซ่อนความขมขื่นที่คนอื่นไม่รู้
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับบาร์แถวนี้?” ฉินซีออกจากภวังค์ ก่อนหันไปถามลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นยักไหล่ “ธุรกิจของตระกูลหนานกงไม่ได้สะอาดนัก และต้องมีฐานที่มั่นมากมาย ร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในฐานที่ใช้ติดต่อ เขามาเป็นเจ้าของร้าน ไม่เพียงแค่เพียงมาเติมเต็มความฝันของเขาเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว ต้องกลับไปยังบ้านตระกูลหนานกง เพื่อช่วยงาน”
ฉินซีพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่ลู่เซิ่นจะพูดต่อ “ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปยังไง ในเมืองหนาน ตระกูลหนานกงก็เป็นพลังที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดในที่นี้ แม้กระทั่งคุณ ก็คงไม่มีวิธีที่จะเจาะเข้าไปในอิทธิพลของพวกเขาได้”
คืนนี้เป็นครั้งแรกที่ลู่เซิ่นเริ่มพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับองค์กร แต่ฉินซีทำได้เพียงพยักหน้า
“พัฒนาการของตระกูลหนานกงในเมืองหนาน นั้นยาวนานเกือบเท่าการมีอยู่ของเมืองหนาน” ลู่เซิ่นจิบค็อกเทลลองไอส์พระอาทิตย์ตก อีกครั้ง พลางพูดต่อ “แม้ผมจะไม่สามารถบอกได้ว่าตระกูลหนานกง พัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน แต่ถ้าหากบอกว่าไม่มีเรื่องไหนในเมืองหนานรอดจากสายตาของตระกูลนี้ไปได้เลย ก็คงจะไม่เกินจริง”
ฉินซีพยักหน้าเบาๆอย่างครุ่นคิด
แม้ว่าขอบเขตอิทธิพลขององค์กรจะใหญ่โต แต่เธอก็รู้ดีว่าทุกแห่งจะมีกำลังลับประจำถิ่นนั้นๆของตัวเอง หากต้องเผชิญหน้ากันจริงๆ มังกรก็ยากที่จะครอบงำงูท้องถิ่น พวกเขาคงไม่อาจเทียบได้
“ตอนที่คุณหายไป ผมก็ไปหาหนานกงเจ๋ เพื่อที่จะให้ช่วยหาคุณ” จู่ๆลู่เซิ่นก็พูดขึ้นมา
ฉินซีตกตะลึง และใช้เวลาสักพักในการคิด ลู่เซิ่นเดินวนไปรอบๆ เป็นวงกลม ก่อนที่จะอธิบายให้ฟังว่าหนานกงเจ๋รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาได้อย่างไร
“เพราะ … เขาช่วยคุณหาฉัน งั้นเขารู้ไหม… “เสียงของฉินซีต่ำลง
แต่ลู่เซิ่นกลับได้ยินมัน ยื่นมือมากุมมือของฉินซี ก่อนพูด “ตอนนั้น ผมหาวิธีทั้งหมดเพื่อที่จะหาคุณ ผมรับปากกับตัวเองไว้ เพื่อคุณ อะไรผมก็ยอมทำ”
ฉินซีไม่ตอบ กุมมือของเขากลับ
เทียบกับสามเดือนที่ไม่ได้เจอกัน ตอนนี้มันดีขึ้น
ทุกอย่าง … จะดีขึ้นใช่ไหม?
“เอาล่ะ” ลู่เซิ่นยิ้ม ก่อนลุกขึ้นยืนทำลายบรรยากาศที่น่าเบื่อ “หาได้ยากที่จะมาที่นี่ เป็นครั้งแรกนี่ที่คุณมาที่บาร์นี้ คุยเรื่องผู้ชายคนอื่นมาทั้งคืน เรามาหาอะไรทำสนุกๆกัน”
ฉินซีมองไปยังมือของเขาที่ยื่นออกมาหาเธอด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “พวกเราจะลงไปแบบนี้เหรอ?”
เธออยากมาที่นี่เพื่อสัมผัสบรรยากาศของบาร์จริงๆ แต่เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะปรากฏตัวท่ามกลางผู้คน อาจจะถูกเห็นได้…
แต่ลู่เซิ่นยิ้มอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องสนใจ พวกเราลงไปสนุกสักพัก ผมให้ผู้ช่วยเปิดโต๊ะให้แล้ว ไฟสลัวแบบนี้ มองไม่เห็นหรอกว่าใครเป็นใคร ”
แสงจากฟลอร์เต้นรำด้านนอกกระทบใบหน้าของลู่เซิ่นลางๆ ฉินซีเหมือนถูกมนต์สะกด อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปจับลู่เซิ่น
“โอเค”
เห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่นไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เดินไปยังบันไดที่ซ่อนอยู่มุมห้อง เดินผ่านฝูงชนที่ครึกครื้นชั้นแรก ผ่านไปยังที่นั่งที่จองไว้ ก่อนจะดึงที่นั่งให้ฉินซี
ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปในกลุ่มฝูงคน แต่ความรู้สึกในชั้นแรกนั้นแตกต่างออกไป เสียงดนตรีที่มีชีวิตชีวาดังกระหน่ำผ่านแก้วหูของฉินซี ถ้าหากว่าอยากจะพูด ก็ต้องขยับเข้าไปใกล้หูของเขา
ลู่เซิ่นดูเหมือนจะมีความสุขกับการมีฉินซีข้างๆ เขาจับเอวของฉินซีเข้ามาชิด ก่อนจะกระซิบข้างหูเธอด้วยเสียงแผ่วเบา
ความคึกคักบนฟลอร์เต้นรำดูเหมือนจะเป็นโรคติดต่อ ฉินซีที่นั่งอยู่ที่นั่นก็เริ่มที่จะร้อนขึ้นมาเช่นกัน
“อยากออกไปเต้นไหม?” ลู่เซิ่นขบเบาๆที่หูของเธอ ก่อนกระซิบ
ฉินซีลังเลไปสักพัก
บนดาดฟ้ามีไฟสลัวๆ แถมยังอยู่ในมุม ไม่มีใครสังเกตเห็นได้แน่
แต่ถ้าออกไปเต้นรำ … แม้ว่าไฟบนฟลอร์เต้นรำจะไม่สว่าง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะถูกเห็นได้
แต่ความลังเลของเธอ ถูกขัดจังหวะโดยชายหนุ่มข้างๆ “ถ้าต้องการไป ก็กอดผมให้แน่น”
ก่อนที่ฉินซีจะทันรู้ถึงความหมาย ก็ถูกดึงขึ้นยืนเสียแล้ว
ลู่เซิ่นจูงมือฉินซีออกจากที่นั่ง และหยุดที่ขอบฟลอร์เต้นรำ
“กอดผมให้แน่น”ลู่เซิ่นกระซิบข้างหูของฉินซี
และในที่สุดฉินซีก็ตอบสนอง
เธอไม่ได้ปฏิเสธเขา แต่สวมกอดลู่เซิ่นอย่างเชื่อฟังราวกับเด็กน้อย ก่อนฝังใบหน้าลงบนอกอุ่นของเขา
ด้วยวิธีนี้แม้แต่ผู้คนที่เต้นรำรอบๆ พวกเขา ก็ไม่สามารถมองเห็นฉินซีได้
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ แรงสั่นจากการที่เขาหัวเราะทำให้เธอยิ้มตามออกมา พวกเขากอดกันแน่น และเต้นรำกันไปตามจังหวะเพลง
เมื่อเพลงจบลง ทั้งสองก็ร่อนไปที่ขอบฟลอร์เต้นรำ ก่อนที่ลู่เซิ่นจะปล่อยฉินซี