Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1362

ตอนที่ 1362

เดิมทีจ้านเซินต้องการให้เหยาจ้าวเริ่มทำการสะกดจิตให้กับฉินซี

แต่ว่าในขณะที่เขาอยากจะอ้าปากพูดนั้น จู่ๆคำพูดของโจวซิงเมื่อสักครู่ได้แวบเข้ามาในหัวของจ้านเซิน

ถึงแม้ว่าจ้านเซินยังคงมีความสงสัยโจวซิงอยู่ แต่คำพูดของเขาก็ได้ส่งผลให้กับจ้านเซินจริงๆ

จ้านเซินครุ่นคิด: “เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกเลย ถ้ามีเหตุการณ์ที่ผิดปกติ ก็ให้หยุดทำการทดลองทันที เข้าใจไหม”

คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการกดดันแกมบังคับ แล้วจ้องดวงตาของเหยาจ้าวที่เปล่งประกายด้วยแสงสลัวๆ

ครั้งนี้ จ้านเซินเริ่มเกิดอาการหวั่นไหวแล้ว

เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ เหยาจ้าวก็ประหลาดใจเล็กน้อย

แม้แต่ฉินซีก็คิดไม่ถึงว่าจ้านเซินจะมีความปรานีต่อเธอ

ในใจเธอตอนนี้มีความรู้สึกสับสน ที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

เหยาจ้าวเป็นคนแรกที่มีการตอบสนองขึ้น : “ครับ”

เขามองไปทางฉินซี และจ้องดวงตาของเธอ จากนั้นค่อยๆพูดขึ้น : “ฉินซี ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ร่างกายมีไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า มีความรู้สึกเวียนศีรษะหรือไม่”

คำถามเหล่านี้เป็นคำถามทั่วไป ที่ใช้ในการเปิดใจผู้ป่วย

ใช้วิธีที่เข้าถึงผู้ป่วยได้ง่ายในการติดต่อสื่อสาร ทำให้เธอไม่รู้สึกว่ากำลังพบแพทย์ แต่รู้สึกว่ากำลังคุยสนทนากับเพื่อน ทำให้ผู้ป่วยค่อยๆผ่อนคลาย เพื่อเตรียมพร้อมในการดำเนินการสะกดจิต

ขอเพียงได้รับความวางใจจากผู้ป่วย เมื่อถึงเวลาก็จะสามารถทำให้ผู้ป่วยพูดความคิดที่อยู่ข้างในให้กับเขาได้อย่างราบรื่น

เห็นได้ชัดเจนว่าเหยาจ้าวนั้นทำเรื่องนี้ได้ดีกว่า โจวซิง

การเริ่มต้นทั้งหมดนี้ ไม่รู้ว่าฉินซีได้ผ่านมากี่ครั้งกี่หนแล้ว

เธอเข้าใจดี หากต่อต้านในตอนนี้ ก็มีแต่ทำให้เสียเวลา เสียพลัง ดังนั้นเวลาที่เผชิญหน้ากับคำถามของเหยาจ้าว เธอจึงตอบไปทุกอย่าง : “ตอนนี้ฉันรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แขนขาอ่อนล้า เวียนศีรษะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นรุนแรง”

ฉินซีเตรียมที่จะเก็บพลังทั้งหมดไว้ทีหลัง ไม่ว่าจะอย่างไร ครั้งนี้เธอจะต้องต้านให้อยู่

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มือของฉินซีที่อยู่ในผ้าห่มก็ได้กำแน่น

เหยาจ้าวรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเธอได้อย่างชัดเจน เธอขยิบตาขึ้น แต่ไม่มีการพูดจาใดๆ

เขาจึงถามต่อไปอย่างต่อเนื่อง : “ครั้งก่อนที่โจวซิงทำการสะกดจิตให้กับคุณนั้น ทำไมอยู่ๆคุณถึงได้ล้มลง สามารถบอกสาเหตุกับผมหน่อยได้ไหม”

เหยาจ้าวเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนหลัก คำถามนี้ถามได้อย่างเฉียบคมมาก

เห็นได้ชัดว่าฉินซีรับรู้สึกถึงจ้านเซินที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเหยาจ้าวพูดแบบนี้ ทั้งตัวถึงกับนั่งตัวเหยียดตรง แสดงให้เห็นว่าเขาสนใจกับคำถามนี้มาก

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบไปอย่างนิ่งๆ : “ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสาเหตุใดเช่นกัน ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองที่อยู่ในความฝันนั้น เหมือนกำลังเดินอยู่บนสะพานแขวน ด้านหน้าปกคลุมไปด้วยหมอก ฉันจึงวิ่งไปข้างหน้า แต่วิ่งเท่าไหร่ก็วิ่งไปไม่ถึงปลายทาง ในขณะที่ฉันหยุดเพื่อพักหายเหนื่อย จู่ๆสะพานแขวนก็ได้หักลง”

ฉินซีขยิบตาขึ้นเผยความใสซื่อบริสุทธิ์ออกมา : “จากนั้นฉันจึงวิ่งอย่างล้มลุกคลุกคลาน และร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่หยุดหย่อน จนฉันได้ยินเสียงของหมอโจวเรียกชื่อของฉัน ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ฉันจำไม่ได้แล้ว”

เธอเอ่ยปากพูดเท็จบ้างจริงบ้าง และไม่ได้พูดเรื่องราวออกมาทั้งหมด เธอปิดบังเรื่องที่เธอเห็นลู่เซิ่นในความฝันเอาไว้ ท่าทางและการหายใจของเธอดูนิ่งปกติ ไม่มีลักษณะของคนที่กำลังโกหก”

นี่เป็นเทคนิคที่เธอเรียนรู้จากการทำทดลองหลายๆครั้งในปีนั้น เพื่อใช้ในการต่อต้านการทดสอบทางจิตวิทยาเช่นนี้

ถ้าหากโกหกอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ อย่างนั้นมักจะมีช่องโหว่ แต่ถ้าพูดจริงบ้างเท็จบ้าง แบบนี้ จะยิ่งทำให้คนสับสนและเชื่อได้ง่ายกว่า

เมื่อจ้านเซินได้ยินเธอพูดเช่นนี้ จึงหรี่ตาขึ้น ไม่มีการพูดจาใดๆ

คำพูดของฉินซีกับคำที่โจวซิงพูดกับเขาในวันนั้นไม่มีความแตกต่างกัน

คนที่ถูกสะกดจิต ก็มักจะมีหลายสาเหตุที่ทำให้ไม่แน่ใจ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็มักจะมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอ ดังนั้นความทรงจำจึงมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อย หรือว่าจำเรื่องราวได้ไม่ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร

“ครับ”

เหยาจ้าวก็ไม่มีการคัดค้าน เหมือนว่าแค่สนใจกับคำถามนี้ ถึงได้ถามมากหน่อยเท่านั้น

ฉินซีไม่รู้ว่าคำตอบของตัวเองเมื่อสักครู่นั้นจะสามารถตบตาเหยาจ้าวกับจ้านเซินได้ไหม เธอรู้เพียงแต่ว่าช่วงเวลาต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เธอจะต้องทำจิตใจให้มั่นคง จะระส่ำระสายไม่ได้

“ฉินซี! สู้ๆ!”

ฉินซีให้กำลังใจตัวเองเงียบๆในใจ

แม้จะเป็นการทำเพื่อลู่เซิ่น เพื่อชีวิตที่ดีของเธอในอนาคต เพื่อการถอนตัวออกจากองค์กร เธอจะต้องยืนหยัดสู้ต่อไป

เหยาจ้าวรับรู้ถึงการบีบแน่นของร่างกายเธอ หลังจากที่เดินเข้ามาจากประตู ก็ไม่เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก : “ต่อไปเราจะเข้าสู่กระบวนการการสะกดจิตในขั้นตอนแรก คุณวางใจได้ ไม่ยากเลย ล้วนเป็นสิ่งที่คุณเคยทำมาก่อนหน้านี้ ไม่มีอันตรายใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงแค่คุณเชื่อใจและปล่อยตัวเองไปกับผม เล่าทุกอย่างที่เห็น ที่ได้ยินทั้งหมดให้กับผม”

น้ำเสียงของเขายิ่งพูดยิ่งอ่อนโยน พร้อมกับลมหายใจที่น่าหลงใหล

ถ้าหากเป็นผู้ป่วยรายอื่น ก็คงจะเคลิ้มไปกับท่าทางของเหยาจ้าวในตอนนี้แล้ว

แต่ว่าฉินซีผู้ผ่านการทดสอบมานับครั้งไม่ถ้วน ยังคงรักษาท่าทางให้สงบนิ่ง

เธอแสร้งทำเป็นเหมือนว่ากำลังเข้าสู่ภาวะการถูกสะกดจิต ด้วยท่าทางที่อ่อนกำลัง นอนพิงอยู่บนหัวเตียง : “ค่ะ”

ฉินซีได้ยินเหยาจ้าวพูดว่า : “ฉินซี ค่อยๆหลับตาลง”

เธอทำตามคำพูดของเหยาจ้าว และค่อยๆปิดตาลง

“ต่อไป จงพาพวกเรากลับไปสู่ความฝันของคุณเมื่อวาน คุณในตอนนี้ กำลังอยู่บนสะพานแขวน กำลังเดินอยู่บนนั้นอย่างช้าๆ ส่วนด้านล่างเป็นเสียงน้ำไหลจ้อกๆไม่ขาดสาย รอบๆรายล้อมไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน กวางซิก้าน้อยตัวหนึ่งกำลังเล็มหญ้า มีนกขมิ้นคอยบรรเลงเพลงให้ฟัง”

ด้านหน้าของฉินซีมีภาพสไลด์ตามคำพูดของเหยาจ้าว

“ฉินซี คุณได้ยินที่ผมพูดเมื่อสักครู่ไหม”

“ฉันได้ยินแล้วค่ะ มีนกส่งเสียงร้องอยู่บนต้นไม้ มีแม่น้ำที่ใสมาก เห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในนั้น”

ฉินซีพูดตามคำพูดของเขา

ต้องยอมรับว่า ความฝันครั้งนี้ช่างเป็นฝันที่งดงามจริงๆ

“ดีมาก! ฉินซี เธอทำได้ดีมาก!”

“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปให้พวกเรามุ่งเดินไปข้างหน้า ไม่ต้องรีบร้อน ให้ทำเหมือนกับเป็นการเดินเล่นอยู่หลังสวนของบ้านตัวเอง”

หรือบางทีอาจเป็นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นช่างงดงามเหลือเกิน ทำให้ฉินซีเกือบลืมไปว่านี่เป็นเพียงความฝัน ตัวเองกำลังถูกสะกดจิตอยู่

ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าขึ้นทำตามคำพูดเหยาจ้าวนั้น

จู่ๆก็มีเสียงอื่นดังแทรกเข้ามาในหัวของฉินซี

“ฉินซี เธอจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา จงนึกถึงลู่เซิ่น จงนึกถึงความฝันของตัวเอง”

เป็นเสียงของเหยาจ้าว แต่เป็นเสียงที่ค่อนข้างทุ้มต่ำ

“ฉินซี ผมรักคุณ เมื่อคุณถอนตัวออกจากองค์กรได้แล้ว พวกเราไปท่องเที่ยวกันนะ ไปในที่ที่คุณอยากไป”

จากนั้นชินซีก็ได้ยินเสียงของลู่เซิ่น เขากำลังเรียกชื่อของตัวเอง

ลู่เซิ่น ลู่เซิ่น! เป็นลู่เซิ่น

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท