เผชิญหน้ากับสายตาที่ร้อนแรงของจ้านเซิน โจวซิงยิ้มแหยๆแล้วพูดขึ้น : “คุณจ้าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณควรต้องขอโทษผมที่คุณไม่เชื่อใจผมตั้งแต่แรก จนเลือกที่จะไปหาหมอเหยาเพื่อมารักษาฉินซี”
เขาพูดตรงๆแล้วมองไปทางจ้านเซิน ด้วยน้ำเสียงที่ไม่รื่นหู : “เพราะเหตุผลของคุณ จึงทำให้ฉินซีต้องได้รับความทรมานอีกครั้ง ยังดีที่เธอไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลถึงชีวิตเลยนะ”
ในน้ำเสียงของโจวซิง มีนัยของการคาดโทษเขา
เขาอยากจะถามจ้านเซินจริงๆ ว่าหัวใจของเขาทำด้วยเหล็กหรือเปล่า
คนธรรมดาทั่วไปที่เลี้ยงสุนัขเพียงไม่กี่ปี ก็ยังมีความรู้สึกเลย
ทำไมเมื่อเปลี่ยนเป็นจ้านเซินแล้ว เพื่อนที่คอยเคียงข้างต่อสู้กับเขาด้วยกันมากว่าสิบปี ทำไมถึงไม่มีค่าสักสลึงเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าตั้งคำถามต่อหน้าเขา สงสัยถึงการตัดสินใจของเขา อีกทั้งยังต้องการให้เขาทำการขอโทษ
บอดี้การ์ดรู้ว่าอารมณ์ของโจวซิง ไม่ค่อยจะดีนัก อีกทั้งยังใจกล้าอีก
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจกล้าถึงเพียงนี้
หรือว่า โจวซิงไม่กลัวว่าจ้านเซินจะชักปืนออกมาสนั่นยิงสมองของเขาให้แหลกกระจุย
บอดี้การ์ดส่ายหัวในใจ อดไม่ได้ที่จะถอนลมหายใจ ช่างเป็นลูกวัวแรกเกิดที่ไม่รู้จักเกรงกลัวเสือจริงๆ
เห็นทีโจวซิงต้องไม่เคยเห็นเวลาที่จ้านเซินโมโห สามารถฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา
ถ้าหากเคยเห็นความโหดร้ายของจ้านเซิน ก็คงจะไม่กล้าอวดดีต่อหน้าเขาเช่นนี้
สามคนนี้เห็นความใจกล้าของ โจวซิง ทำให้ถึงกับเหงื่อตก
แต่ก็ไม่มีใครที่จะกล้าลุกขึ้นยืนมาช่วยโจวซิงพูด เพราะเกรงว่าจะทำให้เดือดร้อนไปด้วย
จ้านเซินได้ยินเขาพูดเช่นนี้ นัยน์ตาก็เปล่งประกายแสงแห่งความกระหายเลือด
มือของเขาลูบไล้อยู่ที่เอว ราวกับว่าจะกระทำการชักปืนออกมา แล้วฆ่าโจวซิงทิ้งเสีย
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าจ้านเซินจะจัดการกับโจวซิงนั้น เขากลับยิ้มขึ้นฉับพลัน
นี่เป็นครั้งแรกที่สามคนนี้ เห็นรอยยิ้มของจ้านเซิน
ต้องยอมรับว่ารอยยิ้มของจ้านเซินนั้นดูดีมาก เพียงแต่เขาในฐานะผู้นำ ทุกๆวันนอกจากมีใบหน้าที่เย็นชา ก็ไม่มีสีหน้าอารมณ์อื่นเลย
เมื่อเวลาล่วงผ่านไป ทุกคนก็คิดว่าใบหน้าเขาเป็นอัมพาต ทำให้ไม่สามารถยิ้มได้
คิดไม่ถึงว่าวันนี้พวกเขาจะโชคดี มีโอกาสได้เห็นถึงรอยยิ้มของจ้านเซิน
และก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดไปถึงคืนนี้หรือเปล่า จ้านเซินคงไม่ฆ่าคนปิดปากนะ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สามคนนี้ก็ถึงกับตัวสั่นสะท้านไปหนึ่งที
แต่โจวซิงกลับยังคงยืนเอวตรงอยู่ที่เดิม เรากับว่าเขาไม่รู้สึกถึงภัยอันตราย ดวงตาจ้องมองจ้านเซินและประจันหน้ากับเขา
จ้านเซินนับถือความใจกล้าของโจวซิง ถ้าเขาเป็นคนว่านอนสอนง่าย เป็นหุ่นยนต์และทำงานให้กับเขา คงจะเป็นอาวุธที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เพียงแต่…..
โจวซิงดื้อรั้นเกินไป มีนิสัยที่เอาแต่ใจ หากต้องการฝึกเขา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย
แต่ก็คงไม่ยากเกินไปสำหรับผู้เฒ่าที่อยู่ไหนองค์กรเหล่านั้น
พวกเขากำลังกังวลว่าจะหา “ของเล่น” ที่เหมาะสมได้จากที่ไหน เพื่อให้พวกเขาได้ฝึกซ้อมฝีมือ
ดังนั้น ครั้งนี้จ้านเซินจึงเกิดความคิดที่จะพาโจวซิงกลับไปด้วย
สายตาของเขามองสำรวจโจวซิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
แววตาดูเหมือนกับเป็นการเลือกสินค้า ทำให้โจวซิงถึงกับรู้สึกอึดอัด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือรู้สึกอาย
โจวซิงจ้องจ้านเซินด้วยความโกรธ : “คุณจ้าน ทำไมคุณถึงไม่พูดล่ะ เป็นเพราะถูกคำพูดของผมเมื่อสักครู่นั้นจี้จุดเข้าให้ จนถึงกับระแวง หรือว่าไม่กล้าลดศักดิ์ศรีเพื่อทำการขอโทษ”
เขายกมุมปากขึ้นพูดอย่างประชดประชัน : “นึกไม่ถึงว่าคนใหญ่คนโตอย่างคุณจ้าน เมื่อทำผิดแล้วก็ไม่กล้ายอมรับ ถ้าแพร่ออกไป ผู้คนคงนึกขำสิ้นดี”
โจวซิงจงใจทำให้จ้านเซินอับอาย เพราะต้องการเห็นมุมโกรธของเขา
แต่ว่า เขาล้มเหลว
วิธีที่เขาใช้นั้นแทบไม่อยู่ในสายตาของจ้านเซินแม้แต่น้อย
จ้านเซินพูดด้วยริมฝีปากบางๆ : “ใครบอกว่าผมทำผิด”
เขามอง โจวซิงที่แววตาแอบซ่อนด้วยความหมาย : “ที่ผมให้หมอเหยาทำการทดลองฉินซีใหม่ ก็เพื่อต้องการให้แน่ใจถึงสถานการณ์ของฉินซี ยิ่งหมอเหยาเป็นหมอประจำตัวของฉินซีตอนที่อยู่องค์กร จึงค่อนข้างจะรู้ดีเกี่ยวกับร่างกายของฉินซีมากกว่าคุณ ถ้าหากร่างกายของฉินซีรับไม่ได้ เขาก็จะหยุดทันที ในส่วนนี้หมอโจวจึงไม่จำเป็นต้องกังวล”
จ้านเซินพูดอย่างเย็นชา เพียงไม่กี่คำก็ตอกกลับคำถามของโจวซิงเมื่อสักครู่
จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ : “อีกอย่าง ถือเป็นครั้งแรกที่ผมร่วมมือกับหมอ โจว ผมเชื่อมั่นในฝีมือของคุณหมอ แต่แค่ไม่ถึงขั้นเข้าใจฝีมืออย่างละเอียด ดังนั้นเพื่อสุขภาพของฉินซี ผมถึงได้เชิญคุณหมอที่เชื่อถือได้ มาทำการทดลองเพื่อยืนยันอีกครั้ง ไม่ทราบว่าผิดตรงไหนครับ หมอโจว อาการของฉินซีไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คุณว่าถูกไหม”
จ้านเซินย้อนถามขึ้นอย่างใจเย็น เขามองโจวซิงริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย
โจวซิงมองเขาด้วยความประหลาดใจถึงคำพูดของเขาที่พูดออกมา เหนือความคาดหมายของตัวเองอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีเขาคิดว่า จ้านเซินที่ดูเย็นชา
จะต้องเหมือนกับท่อนไม้ที่พูดไม่เป็น คิดไม่ถึงว่าเมื่อตอบโต้ขึ้นมากลับมีเหตุผลมีหลักการ
ไม่แปลกใจเลยที่จ้านเซินอายุยังหนุ่มยังแน่นก็สามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งอย่างปัจจุบัน เป็นผู้นำขององค์กรที่ใหญ่ขนาดนั้น เขาช่างมีความสามารถจริงๆ
โจวซิงชื่นชมความสามารถทางความคิดเชิงตรรกะของจ้านเซิน แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบจ้านเซิน
ในใจของเขากลับยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น
ถ้าฉินซีต้องการจะหนีออกจากองค์กร เห็นทีคงจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น และก็เป็นการยากที่ทางฝั่งลู่เซิ่นจะทำการช่วยเหลือเธอออกมา
โจวซิงขมวดคิ้วขึ้น : “ที่คุณจ้านพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผล”
สาเหตุที่เขาก่อกวนความวุ่นวาย เดิมทีก็เพื่อใช้ในการเสาะหาสายที่คอยเป็นหูเป็นตาให้กับจ้านเซิน ดังนั้นตอนที่จ้านเซินมา เขาก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เพียงแต่แค่ถอนหายใจ ที่เขามาเร็วเกินไป เขายังไม่ได้ข้อมูลแม้แต่สักนิดเดียว
โจวซิงรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำการฉีกหน้าจ้านเซิน
ถ้าจ้านเซินรู้ว่าเขาคือคนที่ลู่เซิ่นส่งมา อย่าว่าแต่ลู่เซิ่น โจวเอ้อ แม้แต่ฉินซีก็คงจะถูกคุกคามไม่ใช่น้อย
จ้านเซินเห็นเขาใจเย็นลง และเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่เป็นมิตร : “ในเมื่อหมอโจวก็รู้สึกว่าที่ผมพูดนั้นมีเหตุผล อย่างนั้นต่อไปการรักษาของฉินซี ก็คงยังต้องการลำบากคุณหมออีกแล้ว”
จ้านเซินก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
เขารู้สึกมาตลอดว่าบนตัวของโจวซิงมีจุดที่น่าสงสัย
จ้านเซินตอนนี้มีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ถ้าหากต้องการที่จะค้นหาข้อมูลตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับโจวซิง ก็คงต้องใช้เวลาหลายวัน
ดังนั้น เขาจึงต้องเก็บโจวซิงไว้ข้างกายก่อน แล้วค่อยๆทำการตรวจสอบและเช็คอย่างละเอียด
ถ้าหากตรวจพบว่า โจวซิงเป็นไส้ศึก ก็อย่าได้หาว่าเขาจิตใจเหี้ยมโหด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มีแสงแห่งความชั่วร้ายได้แวบเข้ามาในดวงตาดำขลับของจ้านเซิน ไวจนแทบมองไม่เห็น
โจวซิงเดิมทีคิดว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าจ้านเซินจะไม่ทำอะไรเขา แต่เขาก็คงจะถูกกักขัง และไม่ยอมปล่อยเขาไป
อีกทั้งกีดกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ฉินซี
เขาคิดไม่ถึงว่า จ้านเซินกลับยังเก็บเขาไว้เพื่อทำการรักษาฉินซีต่อ
เห็นเขาไม่ปริปากพูด จ้านเซินจึงขมวดคิ้ว : “หมอโจว คุณมีอะไรข้องใจกับคำพูดผมเมื่อสักครู่ไหม”