ฉินซีสอดมือซ้ายลงในผ้าห่ม แล้วก็พลิกตัวหันหลังให้กับประตู
ดวงตาของเธอบดบังด้วยหมอกจางๆ
ถึงแม้ว่าฉินซีมีความต้องการที่จะออกไปจากองค์กร แต่ต้องยอมรับว่าช่วงเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกันมานี้ เธอก็มีความรู้สึกดีๆให้กับจ้านเซิน
แต่ว่าความรู้สึกนี้ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่อลู่เซิ่น
ในสายตาของฉินซี จ้านเซินก็เหมือนพี่ชายคนหนึ่งที่สามารถเชื่อใจได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่ชายคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนเย็นชาไรน้ำใจ จนทำให้เธอรู้สึกกลัวและไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
ถ้าเป็นไปได้ ฉินซีต้องการได้ทางออกในการแก้ปัญหาที่ดี
และจะดีที่สุดถ้าจ้านเซินคิดได้ และยอมปล่อยให้เธอจากไป โดยที่ไม่มีสมาชิกในองค์กรคนใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ฉินซีมีความหวังที่สวยงามอยู่ภายในใจ เธอถอนหายใจเงียบๆ ได้แต่หวังว่าความหวังนี้จะกลายเป็นจริงให้โดยเร็วที่สุด เพราะเธอนั้นใกล้จะบ้าเต็มทนแล้ว
…..
ในขณะเดียวกัน
จ้านเซินที่ถูกลูกน้องเรียกออกไปพบข้างนอก
บอดี้การ์ดได้โค้งคำนับแล้วรายงานขึ้น : “ลูกพี่ หมอโจวเอาแต่ส่งเสียงเอะอะโวยวายอยากจะออกไปข้างนอก พวกเราจะปล่อยเขาออกไปไหมครับ”
หากไม่ได้รับการอนุญาตจากจ้านเซิน ก็ไม่มีใครกล้าที่จะตัดสินใจโดยพลการ แม้แต่เหยาจ้าวเองก็ไม่สามารถทำได้
เมื่อจ้านเซินได้ยินเขารายงานเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้ม : “ตอนนี้โจวซิงอยู่ไหน”
เขาหรี่ตาอย่างดุดัน มีบรรยากาศเย็นยะเยือกปกคลุมไปรอบๆ
เขาอยากรู้ว่าโจวซิง ต้องการจะทำอะไร อยากออกไปเพราะไม่ได้ถูกเรียกใช้ หรืออยากจะออกไปเพื่อส่งสาร
บอดี้การ์ดชี้จึงไปด้านหน้า : “อยู่ด้านหน้าครับ”
“หมอโจวเดินกระฟัดกระเฟียดอยู่ในบ้าน และหาวิธีที่จะออกไป แต่ถูกพรรคพวกได้รั้งตัวไว้ ตอนนี้เขากำลังโมโหอย่างมาก”
ถ้าไม่เห็นว่าโจวซิงเป็นคนที่จ้านเซินพามา พวกเขาก็คงลงไม้ลงมือเพื่อเป็นการสั่งสอนแล้ว โดยไม่สนว่าเขาจะมีสถานะอะไร รู้แต่ทำความเดือดร้อนให้พวกเขาอย่างเดียว
“อืม ทำรู้แล้ว”
จ้านเซินพยักหน้า แล้วก้าวขาเรียวยาวมุ่งเดินไปข้างหน้า
เมื่อเขาเดินออกจากประตู แล้วมองเข้าไปในห้อง ก็เห็นโจวซิงที่กำลังประจันหน้าอยู่กับบอดี้การ์ด
“พวกนายถือดียังไงไม่ปล่อยผมออกไป ผมก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับความอิสระเช่นกันนะ”
โจวซิงยืนเท้าสะเอว แล้วพูดขึ้นด้วยความโมโห
เสื้อคลุมสีขาวของเขายับเยินเนื่องจากทะเลาะกับบอดี้การ์ด ดูกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย
จ้านเซินยืนอยู่ที่เดิม แล้วมองไปยังด้านหลังของเขาอยู่สักพัก
จากนั้นเขาก็ยกเท้าก้าวเดินมาถึงด้านหน้าของ โจวซิง
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ โจวซิงถึงกับตกใจชะงัก
เขาหันมาทันใด และเผชิญหน้ากับสายตาที่เฉียบคมคู่นั้นของจ้านเซินที่กำลังมองมาที่ตัวเอง ดูคล้ายกับอยากมองทะลุผิวหนัง และทะลุไปถึงความคิดของเขา
ในใจของโจวซิงเต้น “ตึกตัก!”
เขาแสร้งทำเป็นตกใจแล้วถอยหลังไปครึ่งก้าว
โจวซิงเอามือกุมหัวใจของตัวเอง แล้วตบเบาๆ : “คุณจ้าน นี่คุณเดินไม่มีเสียงเลยหรือ ตกใจหมดเลย คุณรู้ไหมการตกใจ อาจทำให้คนถึงตายได้นะ”
น้ำเสียงของเขามีอาการเคืองเล็กน้อย และไม่มีการให้ความเคารพเนื่องจากสถานะของเขาเลยสักนิด
เพราะถึงอย่างไรจ้านเซินก็ไม่ใช่หัวหน้าของ เขาไม่ใช่คนขององค์กร ไม่มีความจำเป็นต้องรองรับอารมณ์ของเขา
จ้านเซินมองเขาอย่างไม่ไหวติง : “หมอโจว คุณมาทําอะไรที่นี่”
เขาไม่ได้ตอบคำถามของโจวซิงแต่กลับมีการย้อนถามขึ้น
จ้านเซินจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของโจวซิง เพื่อพยายามที่จะจับผิด
สายตาที่ร้อนแรงของเขา ทำให้โจวซิงไม่กล้าที่จะผ่อนคลายความระมัดระวัง
โจวซิงแสร้งทำเป็นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ : “ก็เพราะลูกน้องของคุณนั่นแหละ ผมบอกกับพวกเขาว่าคุณได้คุณหมอคนใหม่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผมอยู่ทำการรักษาให้กับฉินซีอีก และก็ควรปล่อยผมออกไปได้แล้ว แต่ว่าพวกเขาไม่เชื่อ และไม่ยอมให้ผมออกไป จะต้องได้รับการอนุญาตจากคุณเท่านั้น”
เขาเดินไปอยู่ข้างๆจ้านเซิน แล้วรีบพูดขึ้นทันทีทันใด : “คุณจ้าน คุณรีบบอกลูกน้องของคุณ ให้พวกเขารีบปล่อยผมไปสิ เพราะถึงผมอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ให้ผมได้กลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลเดิมของผม อย่างน้อยๆผู้ป่วยที่นั่นและครอบครัวยังมีความเชื่อมั่นในตัวผม ที่ทำให้ผมยังรู้สึกภาคภูมิใจ”
น้ำเสียงของโจวซิงซ่อนอารมณ์โกรธเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเนื่องจากจ้านเซินไม่เชื่อมั่นในตัวเขา ต้องการที่จะทำการทดลองใหม่ให้กับฉินซี อีกทั้งยังมีการเชิญแพทย์ท่านอื่น จึงทำให้เขาไม่พอใจ
การกระทำของจ้านเซิน บ่งบอกให้รู้ว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเขา
คำโบราณกล่าวไว้ว่า จะใช้ใครก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้
โจวซิงเองก็เป็นคนที่หยิ่งผยองคนหนึ่ง เมื่อโดนจ้านเซินดูถูกเช่นนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เกิดอาการไม่พอใจ
จุดนี้ เป็นคนธรรมดาทั่วไปก็สามารถเข้าใจได้
จ้านเซินก็ฟังออกถึงความหมายของเขา : “หมอโจว คุณอยู่ต่อเถอะคุณยังมีประโยชน์อย่างอื่น”
เขาไม่มีความคิดที่จะปล่อยตัวโจวซิง : “เมื่อสักครู่ หมอเหยาได้ทำการทดลองให้กับฉินซีเสร็จแล้ว…..”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของจ้านเซินก็หยุดชะงักขึ้น
เมื่อโจวซิงได้ยินว่าฉินซีได้ทำการทดลองเสร็จแล้ว หัวใจของเขาก็จุกขึ้นมาทันที
เขาไม่รู้ว่าเหยาจ้าวจะทดทองเจอสิ่งที่ผิดปกติหรือเปล่า ถ้าหากพูดเรื่องลู่เซิ่นออกมา อย่างนั้นแผนการของพวกเขาก็คงจะล่มไม่เป็นท่า
“เหอะๆ ผลการทดลองเป็นอย่างไร”
โจวซิงได้กลั้นหายใจ แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่ข้างในนั้นวิตกกังวล
เขารู้สึกถึงกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขานั้นตึงไปหมด
จ้านเซินมองดูเขาที่ตัวตึงไปหมด หรี่ตาอย่างดุดัน : “แล้วหมอโจวคิดว่าผลออกมาเป็นอย่างไรล่ะ”
เขาไม่ได้ตอบคำถามของโจวซิง แต่กลับโยนคำถามกลับไปให้เขา
โจวซิงเห็นเขาจงใจเล่นตลกกับตัวเอง ไม่บอกคำตอบให้กับเขา จึงทำให้ความโกรธที่อยู่ในใจได้พุ่งสูงปรี๊ด
เขาจ้องเขม็งจ้านเซิน : “คุณจ้าน ถึงอย่างไรผลที่ได้จากการทดลองของผมก็เหมือนกับที่ผมบอกคุณ อาการฉินซีนั้นรุนแรง ถ้าหากคุณไม่เชื่อ อย่างนั้นผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ และขอให้คุณจ้านโปรดปล่อยผมไปเสียที จากนั้นฉินซีจะดีหรือร้าย จะเป็นหรือตาย ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมอีก”
โจวซิงพูดอย่างหงุดหงิด แล้วคิดในใจ หรือว่าเหยาจ้าวจะเจอความลับที่ฉินซีปกปิดแล้ว อย่างนั้นเขาจะต้องรีบหาวิธีแจ้งกับลู่เซิ่นกับโจวเอ้อให้โดยเร็วที่สุด ให้พวกเขาทำการเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
จ้านเซินมองเขาที่ท่าทางหงุดหงิด นัยน์ตาดำขลับเปล่งประกายด้วยแสงสลัว : “หมอโจว คุณอย่าใจร้อนสิ ผมยังไม่ทันได้บอกผลสรุปเลย”
เขาจงใจหลอกล่อโจวซิง เห็นเขาที่ใจร้อนดุจกองไฟ ความชั่วร้ายก็บังเกิดขึ้นในใจ
“ผลสรุปของหมอเหยา เหมือนกับสิ่งที่คุณพูด หมอโจวคุณถูกแล้ว”
จ้านเซินพูดช้าๆ คำพูดที่พูดออกมานั้นช่างเย็นชา
ถึงแม้ว่าโจวซิงจะได้รับการยอมรับจากเขา แต่กลับไม่รู้สึกถึงความดีใจเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่คิดว่าจ้านเซินกำลังชื่นชมเขา
จ้านเซินก็แค่ไม่อยากปล่อยเขาไปเท่านั้นเอง หรือบางทีแค่รู้สึกว่าเขานั้นยังมีประโยชน์อยู่
หรือไม่ก็กังวลว่าถ้าปล่อยเขาออกไปแล้ว จะนำความเดือดร้อนมาให้ในภายหลัง ดังนั้นจึงได้คุมตัวเขาไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกทีหลังหลังจากที่กลับไปองค์กรแล้ว