เหยาจ้าวขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น : “ฉินซี คุณรู้ไหมว่าจ้านเซินนั้นรู้สึกต่อ…..”
เขาเพิ่งจะหลุดปากพูด ก็นึกเสียใจขึ้น
นี่เป็นเรื่องระหว่างฉินซีกับจ้านเซิน เขาไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่ง
“ช่างเถอะ!”
เหยาจ้าวหลับตาอย่างทุกข์ใจ โดยไม่พูดไม่จาใดๆอีก
แต่ต่อมความรู้สึกไวของฉินซีรู้สึกได้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
เธอก็เคยคิดวิตกอยู่กับปัญหานี้อยู่นานสองนาน
ฉินซีเงยหน้าขึ้นแล้วพูดช้าๆ : “เหยาจ้าว คุณอยากจะบอกเรื่องที่จ้านเซินชอบฉันใช่ไหม”
เธอไม่ใช่คนโง่ เธอย่อมรับรู้ถึงในสิ่งที่จ้านเซินปฏิบัติต่อเธอ มีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติต่อผู้อื่น
ถึงแม้ว่าจ้านเซินจะไม่เคยสารภาพกับเธอ แต่ฉินซีก็สามารถเดาออกได้
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉินซีอมคำพูดไว้ในปาก เธอต้องการอยากพูดอธิบายให้ชัดเจนกับจ้านเซิน แต่เมื่อเห็นใบหน้านั้นของเขา เธอจึงเลือกที่จะไม่พูด
นิสัยของจ้านเซินนั้น ฉินซีย่อมรู้ดีกว่าใคร
เธอกังวลว่าถ้าเธอบอกออกไปว่าในใจตัวเองมีเจ้าของแล้ว จ้านเซินคงจะนำระเบิดไปปาใส่ลู่เซิ่น
จากนั้นก็คงจะขังเธอให้อยู่ในองค์กร และไม่ให้เธอติดต่อกับโลกภายนอกได้อีก
เมื่อนึกถึงภาพนั้น ฉินซีก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังใกล้จะเป็นบ้าแล้ว
เธอจะต้องไม่มีวันกลับไปเป็นแบบนั้นอีก จะต้องไม่อีกแน่นอน
เหยาจ้านึกไม่ถึงว่าฉินซีจะมองขาดได้ถึงเพียงนี้ เขาลืมตาดำขลับกะพริบขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เขาเม้มปาก : “คุณรู้หมดแล้วหรอ”
เหยาจ้าวไม่รู้ว่าฉินซีไปรู้มาจากไหน และรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงเรื่องที่จ้านเซินนั้นชอบเธอ คำถามเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก
แต่สิ่งที่เขาอยากรู้ก็คือ เมื่อฉินซีรู้เรื่องนี้แล้ว เธอจะทำอย่างไรต่อไป
“อืม”
ฉินซีพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ
เหยาจ้าวก็ถามต่อขึ้น : “แล้วคุณคิดอย่างไร”
เขาอยากรู้ความคิดของฉินซี จะได้เตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ฉินซีสบตากับสายตาคู่ของเขานั้นที่อยากรู้อยากเห็น: “ฉันต้องการออกไปจากองค์กร”
ต่อหน้าเหยาจ้าว ฉินซีไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังซ่อนเร้นเลยสักนิด
เธอรู้ว่าเหยาจ้าวเป็นฝ่ายของตัวเอง เธอไม่จำเป็นเสแสร้งต่อหน้าเขา
อีกทั้งการบอกแผนการของตัวเองให้กับเหยาจ้าว เหยาจ้าวจะสามารถช่วยเหลือเธออย่างลับๆ
เมื่อเธอหนีออกไปได้แล้ว เธอจะต้องคิดหาวิธีกลับมาช่วยเหยาจ้าวให้ได้
ขณะที่ฉินซีพูดนั้น ดวงตาสีอำพันประกายแสงของความตื่นเต้น ที่แสดงให้เห็นว่าเธอมีความปรารถนาที่จะเจอแสงสว่างที่อยู่ด้านนอกอีกครั้ง
ฉินซีมีความต้องการที่จะออกไปมาก เหยาจ้าวนั้นรู้ดี
เหยาจ้าวมองตรงไปที่เธอ : “แล้วเธอจะทำอย่างไรกับจ้านเซิน”
ตามนิสัยความดื้อรั้นของจ้านเซิน เมื่อเห็นสิ่งที่ถูกใจ จะต้องเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ เขาไม่มีวันที่จะยอมปล่อยฉินซีไปแบบง่ายๆ ดังนั้นผลสุดท้ายที่ได้ก็คือความพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย หรือไม่ก็คนใดคนหนึ่งที่ต้องตาย เหยาจ้าวไม่ต้องการที่จะเห็นภาพแบบนี้
ถ้าหากเป็นไปได้ ฉินซีและเขาก็คงต้องการการจบลงแบบสันติ
เผชิญหน้ากับคำถามของเหยาจ้าว ฉินชีส่ายหน้า : “ฉันไม่รู้ ฉันไม่อยากทำร้ายจ้านเซิน แต่ว่าฉันไม่ได้ชอบเขาจริงๆ ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาก็คือพี่น้อง และฉันก็ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ที่องค์กรต่อไป ฉันต้องการออกไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป ทำไมถึงได้ยากเย็นขนาดนี้!”
ขณะที่ฉินซีพูดอยู่นั้น จู่ๆน้ำเสียงของเธอก็โมโหขึ้น
เหยาจ้าวขมวดคิ้ว มองไปทางเธอที่สูญเสียการควบคุมอารมณ์
เขาจึงรีบพูดเพื่อปลอบใจขึ้น : “ฉินซี เธอใจเย็นลงก่อน”
เหยาจ้าวเหลือบมองไปที่ประตู เป็นการส่งสัญญาณว่าให้พูดจาระวัง กำแพงอาจจะมีหู
ฉินซีจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังสูญเสียการควบคุมอารมณ์
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตัวเองในเย็นลง : “ขอโทษค่ะ…..”
ฉินซีเอ่ยปากพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ แววตาประกายแสงแห่งความอ้างว้าง
เธอก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ แต่ว่าเธอนั้นต้องการจากไปจริงๆ
จ้องที่ใบหน้านั้นของฉินซี เหยาจ้าวก็รู้สึกปวดใจ : “ผมจะช่วยคุณเอง แต่สำหรับเรื่องที่จะหนีออกไปได้หรือไม่ หลังจากหนีออกไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ก็เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถที่ควบคุมได้”
สุดท้าย เหยาจ้าวก็ถอนหายใจออกมา และเลือกที่จะอยู่ข้างฉินซี
เพราะเขาก็เหมือนกับฉินซี ที่มีความหวังอยากออกไปจากที่นี่ให้โดยเร็วที่สุด
เพียงแต่ว่าเหยาจ้าวในฐานะที่เป็นแพทย์ทางจิตวิทยา จึงใจเย็นมากกว่าฉินซี
เขาเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ โดยที่ไม่ให้ผู้ใดพบเห็น เหยาจ้าวควบคุมในจุดนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นจ้านเซินตอนนี้ยังไม่สังเกตเห็น
ครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเหยาจ้าวที่เผยออกมาให้ฉินซีได้รับรู้เอง
ฉินซีก็คงเข้าใจผิดคิดว่าเหยาจ้าวนั้นได้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จัก ถูกคนในองค์กรกลืนกินไปแล้ว
“ค่ะ”
ฉินซีพยักหน้าอย่างตื้นตันใจ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าก้าวเดินดังมาจากประตูอีกครั้ง
ฉินซีและเหยาจ้าวต่างหุบปากขึ้น กลัวว่าคนรอบข้างจะได้ยิน
จ้านเซินผลักประตูก็เห็นเหยาจ้าวยืนอยู่ด้านหน้าเตียงของฉินซี
เขาขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดเบาๆ : “หมอเหยา คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เมื่อเหยาจ้าวได้ยินเสียงของเขา ก็ได้หันมามอง และเห็นด้านหลังของเขาเห็นมีโจวซิงเดินตามมาด้วย
“ผมเพิ่งมาได้ไม่นาน กังวลว่าเมื่อฉินซีตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่มีคนดูแลอยู่ข้างๆ จึงได้แวะเข้ามาดู”
เหยาจ้าวไอ้เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยที่ไม่มีสีหน้าระแวงหรือกังวลแม้แต่น้อย
จ้านเซินพยักหน้า โดยที่ไม่คิดอะไร
เขาเห็นฉินซีที่ตื่นขึ้นมา จึงถามด้วยน้ำเสียงผมโทนต่ำ : “ฉินซี คุณรู้สึกร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
เผชิญหน้ากับความเป็นห่วงเป็นใยของเขา ฉินซีส่ายหัว ยิ้มจางๆแล้วพูดขึ้น : “ไม่มีค่ะ หลังจากที่ได้นอนพักผ่อนแล้ว รู้สึกร่างกายได้ผ่อนคลายลง”
เธอได้ใส่หน้ากากให้ตัวเองขึ้นอีกครั้ง
จ้านเซินที่เห็นสีหน้าของเธอไม่เลวเลยทีเดียว จึงรู้สึกโล่งใจขึ้น
เขาหันไปทางหมอเหยา : “หมอเหยา ต่อไปคุณกับหมอโจวช่วยกันรักษาฉินซีนะ จำไว้ จะต้องทำให้ฉินซีฟื้นตัวให้โดยเร็วที่สุด”
ดูจากภายนอกดูเหมือนจ้านเซินให้โอกาสโจวซิงอีกครั้ง จึงได้มีการใช้เขา
แต่ในความเป็นจริง มีความหมายอื่นซ่อนไว้
เขาก็แค่ต้องการให้หมอเหยาคอยสอดส่องดูโจวซิง เพื่อป้องกันไม่ให้เขาคิดจะทำอะไร
และเป็นการให้เหยาจ้าวได้ตรวจเช็คเหยาจ้าวไปในตัว ถ้าหากเหยาจ้าวมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ก็จะสามารถรายงานให้เขาทราบโดยทันที
เหยาจ้าวย่อมเข้าใจในความหมายของเขา และเขาก็ไม่มีความคิดเห็นใดๆ : “ครับ”
ท่าทางของเขาทำให้ โจวซิงแยกไม่ออกว่าช่วงเวลาไหนดีช่วงเวลาไหนร้าย
โจวซิงเดิมทีมีการเตรียมพร้อมการป้องกันจากเหยาจ้าว เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนของจ้านเซิน
แต่ว่าเมื่อสักครู่ที่เหยาจ้าวดำเนินการสะกดจิตให้ฉินซีนั้น กลับไม่มีการเปิดโปงเขา ด้วยการรายงานเรื่องของลู่เซิ่นให้กับจ้านเซิน เขาทำแบบนี้ทำไม
หรือว่าเป็นเพราะครั้งนี้ฉินซีแสดงได้เนียนจนทำให้เหยาจ้าวไม่เจอพิรุธ
แต่ฝีมือของเหยาจ้าวนั้นดีกว่าตัวเอง
เรื่องที่เขาสามารถเห็นได้ เหยาจ้าวจะไม่เห็นได้อย่างไร
หรือว่าเขาไม่ใช่คนของจ้านเซิน แต่เป็นคนของฉินซี
หรือบางทีเหยาจ้าวมีจุดประสงค์ลึกไปกว่านั้น หรือว่าอยากเล่นกลไส้ศึก
ในหัวสมองของโจวซิงสับสนวุ่นวาย ไม่กล้าที่จะสรุปเรื่องราวโดยที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด