บทที่ 1384 มาเยือนถึงที่
“หึๆ”
จ้านเซินเผยอมุมปากยิ้มเย็น รอบตัวแผ่รังสีอำมหิต
ขณะเดียวกัน
ลู่เซิ่นกำลังสอบสวนลูกน้องของจ้านเซิน
ลู่เซิ่นไม่ได้ใช้วิธีลงโทษรุนแรง เพียงแต่ขังในห้องเล็กมืดสนิท
เดิมเขาอยากจะบีบให้บอดี้การ์ดสารภาพ แต่ใครจะไปรู้ อีกฝ่ายถึงแม้จะอยู่ในห้องมืดมาสองวันแล้ว ไม่ปริปากสักคำเดียว ราวกับตัวเองพักผ่อนสบายอยู่ที่บ้าน
ลู่เซิ่นรู้สึกเหลือเชื่อ
เขาเดินเข้าไปในห้องมืด มองดูบอดี้การ์ดที่ถูกปิดตา มัดกับเก้าอี้ สีหน้าเคร่งขรึม
ขณะที่มองไม่เห็น การฟังของคนก็จะอ่อนไหวมากขึ้น
ยิ่งเป็นบอดี้การ์ดที่ถูกส่งมา และยังเคยผ่านการฝึกฝนพิเศษที่องค์กรมาก่อน
เมื่อลู่เซิ่นเดินเข้ามา บอดี้การ์ดก็รู้แล้ว
มองผิวเผินเขายังคงนั่งไม่ขยับเขยื้อน นิ่งสงบมาก แต่ในใจตื่นเต้น กล้ามเนื้อเกร็งนิดหนึ่ง
ลู่เซิ่นมองอารมณ์ของเขา พูดเรียบๆ “ฉันรู้ว่าตอนนี้นายกลัวมาก ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก แค่ตอบคำถามตามจริง ก็จะปล่อยนายไป”
เขาไม่เหมือนกับคนขององค์กรจ้านเซิน เขามีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึก ไม่มีทางฆ่าคนบริสุทธิ์
ลู่เซิ่นรู้ดี ลูกน้องของจ้านเซิน ส่วนใหญ่ชีวิตทุกข์ยาก เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง
เดิมพวกเขาก็น่าสงสารอยู่แล้ว และยังถูกองค์กรซื้อไป ฝึกฝนจนกลายเป็นเครื่องจักรไร้ความรู้สึก นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสารมากพอแล้ว
พวกเขาไม่ได้ผิดอะไร ผิดที่จ้านเซินและองค์กรนั่นที่ไม่มีความเป็นมนุษย์
เมื่อนึกถึงตอนแรกที่ฉินซีถูกปฏิบัติผิดปกติคนทั่วไปในองค์กรนั่น ลู่เซิ่นแทบรอไม่ไหวที่จะกำจัดองค์กรให้สิ้นซาก
“คุณไม่ต้องถามแล้ว ผมจะไม่ตอบอะไรทั้งนั้น”
เสียงของบอดี้การ์ดชุดดำแหบแห้ง น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ราวกับเครื่องจักรที่ถูกโปรแกรมมาอย่างดี
เขาทำราวกับไม่รู้ว่าความกลัวคืออะไร ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ก็ปฏิเสธเงื่อนไขของลู่เซิ่นทันที
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ยอมแพ้ “นายไม่อยากรู้หรือไงฉันจะถามอะไร บางทีอาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นอันตรายกับนายนะ”
เขาพยายามโน้มน้าวใจ แต่บอดี้การ์ดก็ไม่สนใจ
บอดี้การ์ดเงยหน้า มองไปทางที่เขายืน “ไม่ว่าคำถามคืออะไร ผมก็ไม่พูดทั้งนั้น ผมไม่มีทางที่จะทรยศหัวหน้าของพวกเรา ยิ่งไม่มีทางทรยศองค์กร”
เขาถูกองค์กรล้างสมองแล้ว อุดมการณ์ที่หยั่งรากลึกมาหลายสิบปี ฝังในใจเขาลึกมาก ใช่ว่าลู่เซิ่นพูดแค่ไม่กี่คำก็จะถอนรากถอนโคนได้ง่ายๆ
ลู่เซิ่นถึงกับสงสัย บอดี้การ์ดที่อยู่ตรงหน้า เตรียมแหลกลาญไปด้วยกันแล้ว
ถ้าเขาเค้นถามไม่สำเร็จ บอดี้การ์ดอาจจะใช้วิธีสละชีวิตตัวเอง เพื่อปกป้ององค์กรและจ้านเซิน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่นย่นคิ้ว รู้สึกกลุ้มใจ
เขาไม่อยากเป็นคนไร้หัวใจ ลงโทษบอดี้การ์ด
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็จะไม่ต่างอะไรกับจ้านเซินและองค์กรที่ไม่มีความเป็นมนุษย์
ถ้าฉินซีรู้เข้า จะต้องผิดหวังในตัวเขามาก
ทว่า ถ้าหากลู่เซิ่นไม่ทำอย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางได้ข่าวที่ต้องการ และไม่มีทางช่วยฉินซีออกมาจากนรก
ในใจลู่เซิ่นขัดแย้งกันมาก ในที่สุดก็เลือกยอมแพ้
เขาเดินออกไปจากห้องมืด ปิดประตูล็อกตามเดิม
ได้ยินเสียงฝีเท้าของลู่เซิ่นห่างออกไป ดวงตาของบอดี้การ์ดที่ถูกปิดอยู่ก็มีแววตาแปลกใจ
ทีแรกเขาคิดว่าลู่เซิ่นจะลงโทษเขา เขาคิดไว้แล้ว เตรียมฆ่าตัวตาย แต่ลู่เซิ่นกลับปล่อยเขา
เพราะอะไรกันนะ
บอดี้การ์ดไม่เข้าใจ ไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้สักนิดเดียว
ลู่เซิ่นเพียงแค่ไม่อยากให้ฉินซีผิดหวังเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่นใดทั้งนั้น
เขาไม่ได้ข่าวที่มีประโยชน์จากบอดี้การ์ด ทำได้แค่กลับไปหาโจวเอ้อ หาแผนการณ์ใหม่
โจวเอ้อคอยสังเกตสถานการณ์ช่วงนี้ และความเคลื่อนไหวของจ้านเซินตลอด
เขาเล่าเรื่องวันนี้ให้ลู่เซิ่นรู้ “วันนี้ข้าเห็นจ้านเซินรีบร้อนออกไป สักชั่วโมงหนึ่งก็กลับมา ข้าเลยตามไป มองไกลๆ เหมือนจะเห็นถังย่า เลยเข้าไปสืบ ใช่เธอจริงๆ ด้วย”
สายตาของลู่เซิ่นมีประกายที่มองความหมายไม่ออก
เขาพูดขึ้นเสียงแหบแห้ง “นายบอกว่าถังย่ากลับมาแล้วหรือ”
สีหน้าของลู่เซิ่นเคร่งขรึมมากขึ้น เดิมทีจ้านเซินคนเดียวก็รับมือยากแล้ว ตอนนี้ถังย่าเพิ่มมาอีกคน นี่มันผีซ้ำด้ำพลอยชัดๆ
ตั้งแต่เรื่องครั้งก่อน ลู่เซิ่นก็รู้แล้วจ้านเซินกับถังย่าคือพวกเดียวกัน
ถังย่าต้องถูกจ้านเซินเรียกมาช่วยแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย
วิธีการและความสามารถของถังย่า ลู่เซิ่นเคยประจักษ์มาแล้ว เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว
“ใช่แล้ว”
โจวเอ้อพยักหน้า รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกันเรื่องถังย่า ประตูคฤหาสน์ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้ทั้งสองคนตื่นตัว
ลู่เซิ่นประสานสายตากับโจวเอ้อ ต่างรู้สึกกังวล
ที่ตั้งคฤหาสน์แห่งนี้ไม่สะดุดตา พวกเขาเพิ่งย้ายเข้ามาไม่นาน คนที่รู้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ใครกันที่มาเวลานี้
ลู่เซิ่นมีลางสังหรณ์ในทางไม่ดี สายตาเย็นชา
โจวเอ้อใจเต้นตุบตับ เขาพูดขึ้นก่อน “ข้าไปดูเอง”
เขาหยิบอาวุธขึ้นมาจากในกระเป๋า เดินไปทางประตูอย่างระมัดระวัง
ลู่เซิ่นรีบลุกขึ้น เดินไปด้านหลังเสา เพื่อซ่อนตัว
เขาเหมือนเสือดาว สายตาจ้องมองที่ประตูเขม็ง ถ้ามีอะไรผิดปกติ ลู่เซิ่นจะลงมือทันที ปลิดชีพเหยื่อ
โจวเอ้อเดินไปที่ประตู สูดลมหายใจเข้าลึก
หลังจากมองผ่านตาแมวเห็นว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือใคร แววตาประหลาดใจ
โจวเอ้อมองไปทางลู่เซิ่นที่ซ่อนด้านหลังเสา กระซิบ “ใช่ ถังย่า”
พูดถึงเธอ เธอก็มาจริงๆ
พวกเขาเพิ่งจะพูดถึงถังย่า ตอนนี้เธอมาแล้ว
โจวเอ้อถึงกับสงสัย ถังย่ามีความสามารถอะไร ทำไมมาได้พอดิบพอดีขนาดนี้นะ
ลู่เซิ่นอ่านจากปากของเขาคือถังย่า รู้สึกแปลกใจมาก
ถังย่ามาหาพวกเขาทำไมกัน
หรือว่าจ้านเซินส่งเธอมา เธอมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
“เปิดประตู”
ลู่เซิ่นเก็บอาวุธในมือ กลับไปนั่งที่โซฟา พูดเสียงเรียบ
โจวเอ้อเห็นท่าทางเขาผ่อนคลายอย่างนั้น ก็พูดอย่างกังวล “นายอย่าเพิ่งวางใจ ไม่แน่ถังย่าอาจจะพาคนมาจับพวกเรา!”
เขาสังเกตความเคลื่อนไหวของถังย่า พลางเตือนสติลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นดื่มชาสีหน้าไม่ตื่นเต้น “สบายใจเปิดประตูเถอะ เธอไม่ทำหรอก”
เท่าที่ลู่เซิ่นเข้าใจถังย่า ครั้งนี้เธอน่าจะมาคนเดียว หรือเพียงแต่พาผู้ช่วยมาด้วยเท่านั้น
“นายแน่ใจนะ