บทที่1400 ลักลอบเข้าไป
ถังย่าพูดเสียงอ่อนโยน พลางช่วยฉินซีทายา
เมื่อเนื้อครีมยาสีขาวนวลถูกป้ายลงบนแผล เธอรู้สึกแสบร้อนหน่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นความรู้สึกเย็นสบายทีหลัง
ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยเพียงแค่นี้ไม่ทำให้ฉินซีผู้ซึ่งมีประสบการณ์การฝึกฝนมาหลายปีรู้สึกอะไรได้
“ไม่เป็นไร”
ฉินซีพูดอย่างสับสนวุ่นวายใจ
… …
ด้านนอกโรงพยาบาล.
ลู่เซิ่นและโจวเอ้อกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมแผนสำหรับคืนนี้
พวกเขายังไม่เจอเครื่องดักฟังที่ถังย่าทิ้งเอาไว้
ความมืดค่อยๆโรยตัวลงมา
ภายใต้สีท้องฟ้าที่ปกคลุม ในวันอังคาร ลู่เซิ่นและโจวเอ้อมาถึงด้านนอกของโรงพยาบาล
เมื่อนึกไปถึงแผนการปฏิบัติต่อไป โจวเอ้อหันไปมองลู่เซิ่นอย่างกังวล “ไม่ว่าจะหาฉินซีเจอหรือไม่ ต้องออกมาภายในหนึ่งชั่วโมง รอให้ออกมาแล้วพวกเราค่อยคิดหาแผนการอื่น เข้าไปครั้งนี้ก็เพียงเพื่อที่จะได้คลำสถานการณ์ภายในให้ชัดเจน ว่าเหมือนกับที่เราคิดไว้หรือเปล่า เพื่อที่จะลักลอบเข้าไปวางรากฐานครั้งหน้า”
โจวเอ้อกำชับอย่างไม่วางใจ เขากลัวว่าลู่เซิ่นเมื่อเข้าไปแล้วจะเสียสติ จะไม่หยุดหาถ้าไม่เจอฉินซี
ลู่เซิ่นสบตากับเขา พลางพยักหน้า “วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าจะต้องทำยังไง นายคอยคุ้มกันอยู่ข้างนอก ถ้าหากเจออะไรผิดปกติ ก็รีบส่งสัญญาณหาฉัน จะได้หนีทันเวลา”
จ้านเซินไม่เพียงแต่จะมีแค่บอดี้การ์ดด้านใน ด้านนอกยังมีหูมีตาเป็นคนทั้งฝูง
ถึงแม้โจวเอ้อจะอยู่ด้านนอก แต่ก็ไม่อาจจะคลายความกังวลได้หมด
“โอเค”
โจวเอ้อพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เขามองตามหลังลู่เซิ่นที่เดินเข้าไปในอุโมงค์อย่างไม่สบายใจ
โจวเอ้อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด คืนนี้ไม่มีดาวสักดวง ดวงจันทร์ก็ซ่อนเร้นอยู่ในเมฆสีดำ
ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง
ในเวลาเดียวกัน
ฉินซีที่อยู่ภายในห้องพักฟื้นก็กังวลมากเช่นกัน
จ้านเซินและถังย่าเตรียมอาหารเย็นแบบจัดเต็มให้เธอ แต่เธอไม่ได้กินเลย
เธออยู่ในห้องอย่างกระสับกระส่าย จ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง
จ้านเซินรู้สึกตัวตรงจุดนี้อย่างฉลาด และมองสบตาถังย่า
ถังย่าก้าวออกไปด้านหน้า “ฉินซี เมื่อกี้ฉันเพิ่งได้รับแจ้งมาว่าหมอเหยากลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังรอเธอไปตรวจอยู่ที่ห้องกายภาพบำบัด เธอไปกับฉันเถอะ”
เธอไม่สนว่าฉินซีจะเชื่อหรือไม่ ก้าวไปข้างหน้าและจับแขนฉินซีให้เดินออกไป
ความหมายของการบีบบังคับมันชัดเจน ใจฉินซีสับสนวุ่นวาย
เธอฝืนยิ้มส่งไป “ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะมาตรวจอะไรอีก พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ?”
ฉินซีเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว
ตามแผนของพวกเขา ลู่เซิ่นใกล้จะมาถึงแล้วในไม่ช้า
ถ้าเธอออกไปในเวลาแบบนี้ ลู่เซิ่นหาเธอไม่เจอแน่
เธอไปไม่ได้แน่นอน แต่ทั้งถังย่าและจ้านเซินต่างก็อยู่ที่นี่ ถ้าหากลู่เซิ่นมาแล้ว ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสองคนนี้อยู่ดี
ฉินซีร้อนรนใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงร่องรอยอะไรสักเล็กน้อย
ถังย่าก้มลง ใบหน้าเคร่งขรึมมองตรงไปยังเธอ “พรุ่งนี้พวกเราจะเรียนกลับองค์กร คืนนี้หมอเหยาจะให้เธฮตรวจร่างกายเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากร่างกายเธอมันอนุญาต พรุ่งนี้เราจะออกไปทันที”
จ้านเซินจริงๆแล้วไม่ได้คิดจะออกไปเร็วอย่างนี้ ครั้งนี้สาเหตุเป็นเพราะลู่เซิ่น
ถังย่าพูดแบบนี้ ก็เพื่อที่จะขู่ฉินซี ให้รู้สึกตื่นตกใจ
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ใบหน้าของฉินซีก็แสดงความลุกลี้ลุกลนขึ้นมาจริงๆ
เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า จ้านเซินจะออกไปเร็วแบบนี้
หมายความว่า ถ้าหากแผนของลู่เซิ่นคืนนี้ไม่สำเร็จละก็ เธอจะไม่มีโอกาสอีก
“มันเร็วไปหรือเปล่า ฉันยังไม่พร้อมเลย”
ฉินซีพูดอย่างตกใจ เธอไม่เต็มใจจะออกไปกับถังย่า
จ้านเซินที่ยืนอยู่อีกด้าน มองดูสายตาที่ต่อต้านของเธอ
เขาพูดอย่างเย็นชา “เธอไม่ต้องพร้อมอะไรทั้งนั้น แค่ออกไปจากที่นี่กับฉันอย่างเชื่อฟังก็พอแล้ว”
จ้านเซินเน้นคำว่า “เชื่อฟัง”สองคำนี้ มันทำให้ใจของฉินซีสั่นรัว
ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าจ้านเซินรู้
คิดถึงตรงนี้ จู่ๆอารมณ์ของฉินซีก็แตกกระจาย “ฉันไม่กลับ!”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงรุนแรง เริ่มจะต่อต้าน
ฉินซีทำสิ่งนี้เพราะเหตุผลสองข้อ
หนึ่ง คือเพื่อที่จะให้จ้านเซินเปลี่ยนความตั้งใจ สอง ถ้าหากลู่เซิ่นมาถึงแล้วและกำลังหลบอยู่ เขาจะได้ยินเสียงของเธอที่เปล่งออกมา และไม่ลงมือทำอะไร
ทันใดจ้านเซินที่มองเธออยู่ก็หงุดหงิดขึ้นมา ดวงตาพลันมืดลง
ลู่เซิ่นมีอิทธิพลกับเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถ้าไม่มีลู่เซิ่น เธอจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เหรอ?
“มากับฉัน”
จ้านเซินก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะจับข้อมือของฉินซีและบังคับให้เธอออกจากห้อง
ฉินซีที่มักบ่นอยากออกจากห้องๆนี้ทุกวี่วัน ครั้งนี้เธอคิดอยากจะอยู่ในห้องนี้ต่อไป
ฉินซีไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ต่อ ว่าหลังจากเธอออกจากห้องพักฟื้น และเข้าไปในห้องกายภาพบำบัด เธอจะเจอกับสถานการณ์อย่างไร
แต่เธอจะขัดขืนจ้านเซินได้อย่างไรกัน
จ้านเซินตอนโกรธน่ากลัวมาก เขาพาฉินซีไปที่ประตูอย่างง่ายดาย
เมื่อมองไปยังท่าทางหยาบคายของเขา ถังย่าก็ขมวดคิ้ว
เธอรู้สึกว่า ช่วงนี้จ้านเซินควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้บ่อยครั้ง
นี่แสดงให้เห็นว่า จ้านเซินค่อยๆกลมกลืนกับโลกภายนอก เริ่มที่จะมีความรู้สึก
สิ่งที่น่าเสียดาย ที่ความรู้สึกนี้ดำรงอยู่แค่บนร่างกายของฉินซีนั้น
แต่ใจของฉินซีก็ยังคงมีแค่ลู่เซิ่นเพียงคนเดียว ความรักของจ้านเซิน ท้ายที่สุดแล้วมันไม่สามารถลงเอยได้อย่างมีความสุข
ถังย่าขมวดคิ้ว พลางเดินตามหลังสองคนนั้น
เธอมองจ้านเซินที่แบกฉินซีไว้บนบ่าขึ้น และนำไปที่ห้องกายภาพบำบัด
และเหยาจ้าวก็เฝ้ารอคอยอย่างเคารพอยู่นานแล้ว
เมื่อตอนเขาเห็นถังย่าเดินเข้ามาในท่วงท่าแบบนี้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี
“เกิดอะไรขึ้น?”
เหยาจ้าวเปล่งเสียงถาม เขาคิดอยากเตือนให้ฉินซีใจเย็นลง
ยิ่งเธอทำแบบนี้ ยิ่งยั่วให้จ้านเซินโกรธ
จ้านเซินตอนนี้ ไม่ใช่คนเดิมของพวกเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
เมื่อฉินซีเห็นว่าตัวเองต่อต้านไม่ไหว เธอจึงหยุดการกระทำลง
เธอนอนคว่ำหน้าบนไหล่ของจ้านเซินอย่างว่าง่ายด้วยแววตาว่างเปล่า
ฉินซีในเวลานี้เหมือนกับตุ๊กตาผ้าไร้วิญญาณที่แตกสลาย
แม้ว่าเธอจะอยู่ที่นี่ แต่หัวใจของเธอว่างเปล่านานแล้ว
จ้านเซินวางฉินซีลงบนเก้าอี้ในห้องกายภาพบำบัด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เริ่มเลย”
เขายืนอยู่ข้างๆฉินซี จ้องเขม็งมายังเธอ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอฉวยโอกาสหลบหนี
การป้องกันที่เข้มงวดเช่นนี้ ทำให้ฉินซียกมุมปากขึ้นอย่างถากถาง
ฉินซีรู้ มีจ้านเซินอยู่แบบนี้ เธอหนีไม่ได้แน่
แทนที่จะเสียพลังงานไปกับการดื้อหัวแข็ง มันจะดีกว่าถ้าไหมถ้าเธอจะทำงานหนักในการตรวจสอบครั้งต่อไป
เหยาจ้าวกับเธอเป็นพวกเดียวกัน เขาต้องช่วยเธออยู่แล้ว ข้อนี้ทำให้ฉินซีวางใจแต่ เธอไม่รู้ ว่าครั้งนี้เหยาจ้าวช่วยเธอไม่ได้
มิฉะนั้น แม้แต่ชีวิตของเหยาจ้าวเองก็จะรักษาไว้ไม่ได้
จ้านเซินมีความรู้สึกต่อฉินซี เขาอาจปล่อยผ่านเธอได้ แต่ไม่ปล่อยผ่านเขาแน่ เหยาจ้าวรู้ถึงจุดนี้ดีกว่าใคร ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะปกป้องตัวเอง