บทที่1423 สาบาน
ลู่เซิ่นหยุดการเคลื่อนไหวลง มองไปที่แววตาคู่นั้นของเขาที่มีความกังวลแล้วเอ่ยปาก
กระทั่งเพื่อฉินซีแล้ว เขาก็จะทะนุถนอมร่างกายอย่างดี
หากยังไม่ได้ช่วยฉินซีออกมา ให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาจะตายไม่ได้
“ทางฝั่งฉินซีมีข่าวใหม่ไหม?”
ลู่เซิ่นนั่งลงบนโซฟา รับผ้าขนหนูที่โจวเอ้อส่งมาให้ เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อยจากการออกกำลัง หน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง ลมปราณฮอร์โมนผู้ชายก็หลั่งออกมาทั่วร่างกาย
ครั้งก่อนที่โจวเอ้อไปตรวจสอบ บังเอิญได้ติดต่อกับเหยาจ้าว
ดังนั้น ในเวลาครึ่งเดือนมานี้ ทั้งสองได้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัวอย่างลับๆ
ปกติแล้ว ในตอนที่ฉินซีกับลู่เซิ่นคิดถึงกัน ก็จะติดต่อกันผ่านเหยาจ้าวและโจวเอ้อ
แน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้จ้านเซินล่วงรู้ พวกเขาจึงไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนัก
“ยังไม่มีชั่วคราว”
โจวเอ้อส่ายหน้ารายงาน
หลังจากลู่เซิ่นเช็ดหน้าเสร็จแล้ว ก็ส่งผ้าขนหนูคืนให้เขา “งั้นทางฝั่งเหยาจ้าวได้บอกไหมว่าตอนนี้อาการป่วยของฉินซีเป็นยังไงบ้างแล้ว? เส้นประสาทที่ถูกทำลายดีขึ้นหรือยัง?”
เขารู้ว่าเหยาจ้าวเป็นลูกผู้พี่ของฉินซี เขาจะไม่ทำร้ายฉินซี
“หมอเหยาบอกว่า สถานการณ์ของฉินซีตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เพียงแค่ฟื้นฟูบำรุงจิตใจซักช่วงหนึ่ง ก็จะรักษาให้หายดีได้”
เดิมทีโจวเอ้อคิดว่ามันยากมากที่จะบุกเข้าองค์กร แต่ในตอนที่ใช้สมองอย่างหนักเพื่อหาหนทาง เหยาจ้าวก็เดินเข้ามา แก้ไขสถานการณ์คับขันของเขา
“งั้นก็ดี”
ลู่เซิ่นพยักหน้า หลังจากได้ยินว่าตอนนี้ฉินซีสุขสบายดีก็ถอนหายใจยาว
…..
ในขณะเดียวกัน
ภายในห้อง
ฉินซีวางหนังสือในมือลง
บนปกหนังสือมีคำเรียบง่ายอยู่ไม่กี่คำ 《การมีชีวิตอยู่》
เขียนโดยนักเขียนชื่อดังหยูหวา หนังสือเล่มนี้ฉินซีอ่านเป็นรอบที่สองแล้ว
ครั้งแรกที่อ่านหนังสือเล่มนี้ อายุของฉินซียังน้อย
เธอในตอนนั้น ไม่อาจเข้าใจความหมายที่หนังสือเล่มนี้สื่อออกมาอย่างลึกซึ้งได้
ฉินซีเพียงแค่ตัดสินอย่างเรียบง่าย ว่านี่เป็นนิยายที่น่าเศร้ามาก ตัวเอกก็น่าสงสารมาก เธอไม่ชอบ
ต่อมา เธอในตอนเด็กได้ลืมหนังสือเล่มนี้ไว้ตรงมุมห้อง
เมื่อเธอหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วอ่านอย่างใจเย็น ถึงพบว่าตนเองในตอนนั้นไม่รู้ประสาแค่ไหน
《การมีชีวิตอยู่》เล่มนี้ ข้ามผ่านกระบวนการตายทีล่ะขั้น เผยให้เห็นว่าการมีชีวิตอยู่นั้นยากเย็นเพียงใด แต่เพราะยากเย็นแบบนี้ จึงสะท้อนให้เห็นจากด้านข้างว่าไม่มีอะไรสวยงามไปกว่าการมีชีวิตอยู่แล้ว
ถ้าหากคุณไม่กลัวกระทั่งช่วงเวลาที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก แล้วจะยังมีอะไรที่คุณทำไม่ได้อีกล่ะ
จนตอนนี้ฉินซีถึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ รู้สึกสะเทือนใจมาก
เส้นทางที่ก้าวเดิน เธอผ่านประสบการณ์มากกว่าคนที่อายุเท่ากันมามากมาย
แม้ว่าเธอจะเป็นทุกข์ แต่ก็มีความสุข
เพราะเธอได้พบกับลู่เซิ่น การปรากฏตัวของลู่เซิ่นราวกับแสงสว่าง ส่องประกายชีวิตที่ดำมืดของเธอ
ฉินซีอยากใช้ชีวิตให้ดี อยากมีพรุ่งนี้ที่งดงามไปกับลู่เซิ่น
คิดมาถึงตรงนี้ มุมปากของฉินซีก็โค้งขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกประตูอย่างกะทันหัน
“ก๊อกก๊อกก๊อก….”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉินซีขมวดคิ้ว วางหนังสือในมือลง
“เข้ามา”
ฉินซีเอ่ยปากนิ่งๆ นั่งตัวตรง
ประตูห้องเปิดออก เผยใบหน้าหล่อเหลาของจ้านเซิน
ดวงตาของเขาเฉียบคม ร่างกายเต็มไปด้วยลมหายใจที่เย็นเยือก
สายตาของจ้านเซินตกลงบนใบหน้าของฉินซี มองกวาดขึ้นลง
เขาก้าวขาคู่ยาว ไปถึงข้างตัวฉินซี “ร่างกายเป็นยังไงบ้าง?”
เขาเปิดปากพูดเบาๆด้วยริมฝีปากบาง
ฉินซีพูดพลางยิ้มเล็กน้อย “ดีขึ้นมากแล้ว”
เธอเชื่อฟังคำพูดของเหยาจ้าว ทัศนคติที่มีต่อจ้านเซินในตอนนี้เคารพมาก
“หนังสือเล่มนี้อ่านจบแล้วหรอ?”
ช่วงหนึ่งจ้านเซินไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับเธอ มองเห็นข้างตัวเธอมีหนังสือวางอยู่ จึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
ฉินซีพยักหน้า “อืม สนุกดีนะ”
เธอพูดออกมาจากใจ ใบหน้าเผยสีหน้าที่อ่อนโยน
จ้านเซินมองใบหน้าที่อ่อนหวานของเธอ ชะงักเล็กน้อย “สนุกตรงไหน?”
เขายังจำที่ฉินซีพูดตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกได้ ไม่ชอบนิทานที่บรรยายอยู่ในหนังสือนี้เลยซักนิด น่าเศร้าขนาดนั้น
“เอ่อ? เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าถ้านายอ่านก็จะเข้าใจเอง”
ฉินซีขมวดคิ้ว พูดอย่างครุ่นคิด
คนหนึ่งพันคนมีHamletหนึ่งพันแบบ ระหว่างเธอกับจ้านเซินเดิมทีก็มีความแตกต่างอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเล่าให้เขาฟังยังไง
ฉินซีไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ จึงเอ่ยปาก “จ้านเซิน ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายดีขึ้นมากแล้ว ความหมายที่นายแสดงออกมา ฉันก็เข้าใจแล้ว ในเมื่อฉันกลับมาอยู่องค์กรแล้ว งั้นก็ต้องเป็นทหารที่ดีขององค์กร ช่วงนี้มีงานอะไรไหม? ฉันอยากรับงาน”
เธอรู้ว่าภายในองค์กรไม่เลี้ยงดูคนที่ไร้ประโยชน์ ตอนนี้เธอถูกขังให้อยู่ในห้องทั้งวัน นอกจากพื้นที่ไม่กี่สิบตารางเมตรนี้ก็ไม่สามารถไปไหนได้ การทำงานของร่างกายอาจเสื่อมลงเรื่อยๆ
ถ้าอยากที่จะฝ่าฟันโดยตรง ก็จำเป็นต้องใช้กำลัง
ด้วยสภาพของฉินซีในตอนนี้ คิดจะสู้สามต่อหนึ่งยังลำบาก ไม่ต้องพูดถึงการหลบหนีที่ต้องฝ่าวงล้อมหลายชั้น
ต่อให้เป็นเธอที่มีพละกำลังเต็มที่ ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
“เธอจะรับงาน?”
ดวงตาแคบยาวของจ้านเซินฉายแสงแห่งความสงสัย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าฉินซีจะพูดแบบนี้ เธอคิดได้แล้วจริงๆ หรือว่า เพียงเพื่อให้เขาคลายความระมัดระวังลง แล้วหาโอกาสที่จะออกไปให้ได้
“ใช่”
ฉินซีพยักหน้า มองตรงเข้าไปที่ดวงตาของเขา “ฉันรู้ นายจะไม่ปล่อยให้ฉันจากไป ภายในองค์กรคุ้มกันแน่นหนา ฉันออกไปไม่ได้ ลู่เซิ่นก็เข้ามาไม่ได้ จากประสบการณ์ครั้งนี้ฉันเข้าใจแล้ว ว่าบางทีฉันกับลู่เซิ่นได้มีชะตาร่วมกัน องค์กรให้โอกาสฉันได้เกิดใหม่ ฉันเกิดมาเป็นคนขององค์กร ตายเป็นผีขององค์กร”
เธอพูดเน้นทีล่ะคำ ใช้น้ำเสียงเข้มแข็งแสดงการตัดสินใจของตน
ถึงอย่างนั้น สายตาของจ้านเซินก็มีความสงสัยอยู่ตั้งแต่ต้น “ฉินซี เธอแน่ใจนะว่าเรื่องที่เธอพูดเมื่อกี้เป็นความจริง?”
ทั้งสองรู้จักกันมาเนิ่นนาน จ้านเซินต้องรู้จักนิสัยของฉินซีเป็นธรรมดา
ในสายตาของจ้านเซิน ฉินซีไม่ใช่ผู้หญิงที่จะพูดเรื่องยอมแพ้ออกมาอย่างง่ายดายเด็ดขาด
“ฉันแน่ใจ”
ฉินซีพูดอย่างหนักแน่น “ฉันของสาบานด้วยชีวิตฉัน ถ้าสิ่งที่ฉันพูดเมื่อกี้มีคำไหนเป็นเรื่องโกหก งั้นฉันฉินซี วันข้างหน้าจะต้องตายโดยไม่มีหลุมฝัง…..”
เธอชูกำปั้นขึ้น เตรียมที่จะสาบานต่อสวรรค์
ถึงอย่างนั้น คำพูดของฉินซีพึ่งพูดไปครึ่งเดียว ก็ถูกจ้านเซินขัดขึ้นอย่างเยือกเย็น
“พอแล้ว!”
จ้านเซินก้าวไปข้างหน้า เอื้อมมือเรียวยาวไปปิดปากของฉินซี
เขาขมวดคิ้วแน่น มองที่ไปฉินซีด้วยใบหน้าจริงจัง “ไม่ต้องพูดต่อแล้ว”