Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1433

ตอนที่ 1433

แต่หลังจากที่ฉินซีผ่านอะไรมามากมายแล้ว ต่อสู้กับจ้านเซินอย่างกล้าหาญและชาญฉลาดมาไม่หยุดตั้งแต่ต้น

ต่อให้อยู่ในที่ที่อันตรายขนาดนั้น ฉินซีก็ไม่เคยยอมแพ้ในตัวลู่เซิ่นเลย

หลังจากลู่เซิ่นฟังจบ หัวใจก็พองโต

จู่ๆเขาก็รู้สึกว่า ตัวเองยังสู้ผู้หญิงอย่างฉินซีไม่ได้เลย

เขาในฐานะผู้ชาย เดิมทีควรจะแบกรับหน้าที่ในการปกป้องฉินซี

แต่ว่าตอนนี้ ทั้งวันเขาเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยนี้ รอข่าวของฉินซีส่งมา ไม่สามารถทำอะไรได้อีก

ฝ่ามือที่วางอยู่ข้างตัวกำหมัดแน่น ลู่เซิ่นคำรามด้วยความโกรธ ยกกำปั้นขึ้น แล้วกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง

“ปัง!”

เสียงที่ทึมทึบทำให้โจวเอ้อและโจวซิงตกใจ

“ลู่เซิ่น!”

ทั้งสองรีบเดินไปข้างหน้า กลัวว่าลู่เซิ่นจะทำร้ายตัวเอง

“ลู่เซิ่น นายใจเย็นหน่อย อย่าหุนหันพลันแล่น นึกถึงฉินซีไว้ นึกถึงอนาคตของพวกนาย”

โจวซิงพูดอย่างร้อนรน เริ่มให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยากับลู่เซิ่น

ลู่เซิ่นเพียงแค่รู้สึกปวดใจมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ดูแลฉินซีให้ดี จึงรู้สึกผิดต่อเธอ ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตัวตาย

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ฉันรู้ ฉันจะไม่หุนหันพลันแล่น พวกนายวางใจเถอะ”

ลู่เซิ่นลดสายตาลง สีหน้าดูแย่มาก

รอบตัวเขาเผยกลิ่นอายที่เศร้าโศก ทำให้โจวซิงกับโจวเอ้อทุกข์ใจมาก

“มันจะผ่านไปได้ นายมีกำลังใจหน่อย”

โจวเอ้อตบบ่าของเขา พูดปลอบโยน น้ำเสียงมีความทนไม่ไหว

“อืม”

ลู่เซิ่นพยักหน้า จัดการอารมณ์ของตัวเองด้วยความรวดเร็ว

ในตอนที่ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดในแววตาเขาก็หายไปแล้ว

ดวงตาที่แต่เดิมมีสีเข้มดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ทำให้คนอื่นมองความคิดในใจของเขาไม่ออก

โจวซิงในฐานะจิตแพทย์ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ในตอนนี้ของลู่เซิ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เขาดูสงบเงียบจนน่ากลัว แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะดีหรือไม่ดี โจวซิงในเวลานี้ก็ดูไม่ออก

เขาทำได้เพียงใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวดกว่านี้กับลู่เซิ่น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

ลู่เซิ่นมอ

ไปที่โจวเอ้อ เอ่ยปากถาม “เธอได้บอกไหมว่าครั้งนี้จะทำภารกิจอะไร ทำที่ไหน?”

โจวเอ้อนึกว่าเขายังอยากไปอยู่ ก็เตรียมที่จะพูดให้เขาได้สติ ลู่เซิ่นก็พูดขึ้นก่อน “โจวเอ้อ ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้ฉันมีสติมาก ฉันจะไม่หุนหันพลันแล่น ฉันเพียงแค่อยากรู้สถานการณ์ตอนนี้ของฉินซี ฉันอยากจะแน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร”

ลู่เซิ่นมองไปที่โจวเอ้อด้วยสายตาแผดเผา น้ำเสียงของเขาแม้ว่าจะเรียบเฉย แต่ในเวลานี้โจวเอ้อกลับรู้สึกได้ถึงความยืนหยัดที่อยู่ลึกในกระดูกของเขา

โจวเอ้อรู้ดี ถ้าหากเขาไม่พูด ลู่เซิ่นจะต้องหาหนทางอื่นเพื่อที่จะได้รู้สถานการณ์ของฉินซี

ถึงตอนนั้น เป็นไปได้มากที่จะไปกระตุ้นจ้านเซิน

โจวเอ้อกังวลว่าเรื่องจะไปถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงตัดสินใจที่จะไม่ซ่อนมันอีกต่อไป “มันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่ ภารกิจเป็นความลับภายในองค์กร แม้ว่าฉินซีจะอยากออกจากองค์กร แต่เธอก็มีจรรยาบรรณในอาชีพ จึงไม่ได้เปิดเผยให้ฉันรู้”

ฉินซีเพียงแค่อยากออกจากองค์กรเท่านั้น ไม่ได้อยากทำลายมัน

แม้ว่าสำหรับเธอแล้ว ข้อกำหนดในองค์กรจะเข้มงวดมาก ทารุณมาก กดดันมากจนเธอหายใจไม่ออก

แต่ว่า ที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ที่นี่ได้ปลูกฝังคนที่มีประโยชน์มากมายออกมา

อีกอย่าง เด็กที่มาอยู่ที่นี่ ส่วนมากเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีญาติมิตร ส่วนบางคนแม้ว่าจะมีพ่อแม่ แต่กลับถูกทอดทิ้ง ถูกด่าทอทุบตี สถานะน่าสังเวช

พวกเขาไม่ได้รับการดูแลจากสังคม ไม่สามารถอยู่รอดได้ ดังนั้นองค์กรถึงพาพวกเขากลับมา

สำหรับเด็กเล็กเหล่านี้แล้ว ภายในองค์กรแม้ว่าจะลำบาก เหน็ดเหนื่อย เรื่องที่ต้องเรียนรู้มีมากมาย แต่กลับเป็นที่ที่ดีมากสำหรับการอยู่อาศัย

ที่นี่มีห้องสวย เสื้อผ้าสวยๆ ได้กินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่ ทั้งยังได้เรียนหนังสือ

นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันได้รบจากภายนอก

“ฉันเข้าใจแล้ว”

ลู่เซิ่นชะงักเล็กน้อย แล้วพยักหน้า

เขารู้ดี ว่าฉินซีเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาโดยตลอด

ในเมื่อเธอตัดสินใจออกมาทำภารกิจแล้ว งั้นก็จะทำให้ดีที่สุด

ฉินซีจดจำภารกิจของตนได้อย่างชัดเจน ต่อให้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ตราบใดที่เธอยังอยู่ในตำแหน่งนี้อยู่ เธอก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด

ลู่เซิ่นขยับริมฝีปากเบาๆ “นายหาทางติดต่อกลับไปที่ฉินซี ถามเธอดู ว่าฉันสามารถยืนอยู่ที่อื่น มองดูเธอจากที่ไกลๆได้ไหม จะไม่ให้จ้านเซินรู้ตัวเลย”

เขาคิดถึงฉินซีมากเหลือเกิน คิดถึงจนแทบบ้านแล้ว

บางทีคนอื่นอาจจะจำวันคืนอย่างละเอียดไม่ได้ แต่ลู่เซิ่นกลับช่วงเวลาที่ผ่านไปย่างชัดเจน

พวกเขาแยกจากกันมาสี่สิบห้าวันเต็ม ในสี่สิบห้าวันนี้ฉินซีเป็นยังไงบ้าง หิวจนผอมไปหรือเปล่า ฝึกฝนเหนื่อยไหม สภาพจิตใจตอนนี้ของเธอเป็นยังไงบ้าง

แม้ว่าลู่เซิ่นจะรับรู้ข้อมูลมาบ้างจากโจวเอ้อ แต่พวกนี้ไม่เพียงพอเลย

ไม่มีอะไรสบายใจไปกว่าการได้เจอหน้าซักครั้ง

“นั่น….”

โจวเอ้อลังเล

โจวซิงยืนขึ้นคัดค้านเป็นคนแรก “ไม่ได้! นี่มันเสี่ยงเกินไป ลู่เซิ่นนายมีสติหน่อย!”

เขาขัดคำพูดของโจวเอ้อ ไม่ให้เขายอมรับ

ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองตรงไปที่โจวเอ้อ

สายตานั้นทำให้โจวเอ้อรู้สึกราวกับมีเข็มทิ่มหัวใจ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วตอบรับไป “เฮ้อ…ฉันจะลองถามดู แต่ผลลัพธ์จะเป็นยังไง ฉันก็รับประกันไม่ได้นะ”

โจวเอ้อเตือนลู่เซิ่นล่วงหน้าถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น “ลู่เซิ่น นายอย่าพึ่งตั้งความหวังอะไรมาก ถ้าเกิดไม่ได้ นายจะเสียใจ”

ลู่เซิ่นพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ฉันรู้”

เขาจะไม่หุนหันพลันแล่น แต่ก็อยากลองดูเสียหน่อย

ภายใต้คำขอของลู่เซิ่น โจวเอ้อติดต่อกับเหยาจ้าว บอกความคิดของลู่เซิ่นให้เหยาจ้าวรับรู้

……

หลังจากที่เหยาจ้าวได้รับข่าว ก็ไปปรึกษากับฉินซีเป็นอย่างแรก

และในเวลานี้

ฉินซีกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการออกจากองค์กร ไปทำภารกิจในวันพรุ่งนี้

ทุกครั้งก่อนที่จะทำภารกิจ ฉินซีจะนำชุดเครื่องมือของตนออกมา

เครื่องมือชุดนี้ผ่านลมผ่านฝนมากับเธอ อยู่มาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะสึกหรอไปบ้าง แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน อีกอย่างฉินซีใช้อันอื่นก็ไม่คุ้นมือ มีเพียงชุดนี้ที่ตรงใจเธอที่สุด

“ก๊อกก๊อกก๊อก…..”

ฉินซีกำลังจัดเก็บของไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

เธอขมวดคิ้ว เอ่ยปากเสียงเบา “เข้ามา”

เวลานี้แล้ว ใครมากันนะ

ในตอนที่ฉินซีกำลังคาดเดา เหยาจ้าวก็ผลักประตูเข้ามา

“ฉินซี ทางฝั่งลู่เซิ่นบอกว่าอยากเจอเธอ”

เหยาจ้าวไม่ได้ยืดเยื้อให้เสียเวลา บอกเรื่องนี้กับเธอไปโดยตรง

เขาไม่ควรอยู่ในห้องของฉินซีนานเกินไป หลีกเลี่ยงที่จำทำให้จ้านเซินสงสัย

“อะไรนะ?”

ดวงตาทั้งคู่ของฉินซีเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ หยุดการเคลื่อนไหวในมือ เอ่ยปากขึ้นด้วยความสงสัย “ไม่ใช่บอกไปแล้วหรอ ว่าตอนนี้จะยังไม่เจอ?”

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท