แต่หลังจากที่ฉินซีผ่านอะไรมามากมายแล้ว ต่อสู้กับจ้านเซินอย่างกล้าหาญและชาญฉลาดมาไม่หยุดตั้งแต่ต้น
ต่อให้อยู่ในที่ที่อันตรายขนาดนั้น ฉินซีก็ไม่เคยยอมแพ้ในตัวลู่เซิ่นเลย
หลังจากลู่เซิ่นฟังจบ หัวใจก็พองโต
จู่ๆเขาก็รู้สึกว่า ตัวเองยังสู้ผู้หญิงอย่างฉินซีไม่ได้เลย
เขาในฐานะผู้ชาย เดิมทีควรจะแบกรับหน้าที่ในการปกป้องฉินซี
แต่ว่าตอนนี้ ทั้งวันเขาเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยนี้ รอข่าวของฉินซีส่งมา ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ฝ่ามือที่วางอยู่ข้างตัวกำหมัดแน่น ลู่เซิ่นคำรามด้วยความโกรธ ยกกำปั้นขึ้น แล้วกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง
“ปัง!”
เสียงที่ทึมทึบทำให้โจวเอ้อและโจวซิงตกใจ
“ลู่เซิ่น!”
ทั้งสองรีบเดินไปข้างหน้า กลัวว่าลู่เซิ่นจะทำร้ายตัวเอง
“ลู่เซิ่น นายใจเย็นหน่อย อย่าหุนหันพลันแล่น นึกถึงฉินซีไว้ นึกถึงอนาคตของพวกนาย”
โจวซิงพูดอย่างร้อนรน เริ่มให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยากับลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นเพียงแค่รู้สึกปวดใจมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ดูแลฉินซีให้ดี จึงรู้สึกผิดต่อเธอ ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตัวตาย
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ฉันรู้ ฉันจะไม่หุนหันพลันแล่น พวกนายวางใจเถอะ”
ลู่เซิ่นลดสายตาลง สีหน้าดูแย่มาก
รอบตัวเขาเผยกลิ่นอายที่เศร้าโศก ทำให้โจวซิงกับโจวเอ้อทุกข์ใจมาก
“มันจะผ่านไปได้ นายมีกำลังใจหน่อย”
โจวเอ้อตบบ่าของเขา พูดปลอบโยน น้ำเสียงมีความทนไม่ไหว
“อืม”
ลู่เซิ่นพยักหน้า จัดการอารมณ์ของตัวเองด้วยความรวดเร็ว
ในตอนที่ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดในแววตาเขาก็หายไปแล้ว
ดวงตาที่แต่เดิมมีสีเข้มดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ทำให้คนอื่นมองความคิดในใจของเขาไม่ออก
โจวซิงในฐานะจิตแพทย์ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ในตอนนี้ของลู่เซิ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เขาดูสงบเงียบจนน่ากลัว แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะดีหรือไม่ดี โจวซิงในเวลานี้ก็ดูไม่ออก
เขาทำได้เพียงใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวดกว่านี้กับลู่เซิ่น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
ลู่เซิ่นมอ
ไปที่โจวเอ้อ เอ่ยปากถาม “เธอได้บอกไหมว่าครั้งนี้จะทำภารกิจอะไร ทำที่ไหน?”
โจวเอ้อนึกว่าเขายังอยากไปอยู่ ก็เตรียมที่จะพูดให้เขาได้สติ ลู่เซิ่นก็พูดขึ้นก่อน “โจวเอ้อ ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้ฉันมีสติมาก ฉันจะไม่หุนหันพลันแล่น ฉันเพียงแค่อยากรู้สถานการณ์ตอนนี้ของฉินซี ฉันอยากจะแน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร”
ลู่เซิ่นมองไปที่โจวเอ้อด้วยสายตาแผดเผา น้ำเสียงของเขาแม้ว่าจะเรียบเฉย แต่ในเวลานี้โจวเอ้อกลับรู้สึกได้ถึงความยืนหยัดที่อยู่ลึกในกระดูกของเขา
โจวเอ้อรู้ดี ถ้าหากเขาไม่พูด ลู่เซิ่นจะต้องหาหนทางอื่นเพื่อที่จะได้รู้สถานการณ์ของฉินซี
ถึงตอนนั้น เป็นไปได้มากที่จะไปกระตุ้นจ้านเซิน
โจวเอ้อกังวลว่าเรื่องจะไปถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงตัดสินใจที่จะไม่ซ่อนมันอีกต่อไป “มันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่ ภารกิจเป็นความลับภายในองค์กร แม้ว่าฉินซีจะอยากออกจากองค์กร แต่เธอก็มีจรรยาบรรณในอาชีพ จึงไม่ได้เปิดเผยให้ฉันรู้”
ฉินซีเพียงแค่อยากออกจากองค์กรเท่านั้น ไม่ได้อยากทำลายมัน
แม้ว่าสำหรับเธอแล้ว ข้อกำหนดในองค์กรจะเข้มงวดมาก ทารุณมาก กดดันมากจนเธอหายใจไม่ออก
แต่ว่า ที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ที่นี่ได้ปลูกฝังคนที่มีประโยชน์มากมายออกมา
อีกอย่าง เด็กที่มาอยู่ที่นี่ ส่วนมากเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีญาติมิตร ส่วนบางคนแม้ว่าจะมีพ่อแม่ แต่กลับถูกทอดทิ้ง ถูกด่าทอทุบตี สถานะน่าสังเวช
พวกเขาไม่ได้รับการดูแลจากสังคม ไม่สามารถอยู่รอดได้ ดังนั้นองค์กรถึงพาพวกเขากลับมา
สำหรับเด็กเล็กเหล่านี้แล้ว ภายในองค์กรแม้ว่าจะลำบาก เหน็ดเหนื่อย เรื่องที่ต้องเรียนรู้มีมากมาย แต่กลับเป็นที่ที่ดีมากสำหรับการอยู่อาศัย
ที่นี่มีห้องสวย เสื้อผ้าสวยๆ ได้กินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่ ทั้งยังได้เรียนหนังสือ
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันได้รบจากภายนอก
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ลู่เซิ่นชะงักเล็กน้อย แล้วพยักหน้า
เขารู้ดี ว่าฉินซีเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาโดยตลอด
ในเมื่อเธอตัดสินใจออกมาทำภารกิจแล้ว งั้นก็จะทำให้ดีที่สุด
ฉินซีจดจำภารกิจของตนได้อย่างชัดเจน ต่อให้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ตราบใดที่เธอยังอยู่ในตำแหน่งนี้อยู่ เธอก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด
ลู่เซิ่นขยับริมฝีปากเบาๆ “นายหาทางติดต่อกลับไปที่ฉินซี ถามเธอดู ว่าฉันสามารถยืนอยู่ที่อื่น มองดูเธอจากที่ไกลๆได้ไหม จะไม่ให้จ้านเซินรู้ตัวเลย”
เขาคิดถึงฉินซีมากเหลือเกิน คิดถึงจนแทบบ้านแล้ว
บางทีคนอื่นอาจจะจำวันคืนอย่างละเอียดไม่ได้ แต่ลู่เซิ่นกลับช่วงเวลาที่ผ่านไปย่างชัดเจน
พวกเขาแยกจากกันมาสี่สิบห้าวันเต็ม ในสี่สิบห้าวันนี้ฉินซีเป็นยังไงบ้าง หิวจนผอมไปหรือเปล่า ฝึกฝนเหนื่อยไหม สภาพจิตใจตอนนี้ของเธอเป็นยังไงบ้าง
แม้ว่าลู่เซิ่นจะรับรู้ข้อมูลมาบ้างจากโจวเอ้อ แต่พวกนี้ไม่เพียงพอเลย
ไม่มีอะไรสบายใจไปกว่าการได้เจอหน้าซักครั้ง
“นั่น….”
โจวเอ้อลังเล
โจวซิงยืนขึ้นคัดค้านเป็นคนแรก “ไม่ได้! นี่มันเสี่ยงเกินไป ลู่เซิ่นนายมีสติหน่อย!”
เขาขัดคำพูดของโจวเอ้อ ไม่ให้เขายอมรับ
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองตรงไปที่โจวเอ้อ
สายตานั้นทำให้โจวเอ้อรู้สึกราวกับมีเข็มทิ่มหัวใจ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วตอบรับไป “เฮ้อ…ฉันจะลองถามดู แต่ผลลัพธ์จะเป็นยังไง ฉันก็รับประกันไม่ได้นะ”
โจวเอ้อเตือนลู่เซิ่นล่วงหน้าถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น “ลู่เซิ่น นายอย่าพึ่งตั้งความหวังอะไรมาก ถ้าเกิดไม่ได้ นายจะเสียใจ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ฉันรู้”
เขาจะไม่หุนหันพลันแล่น แต่ก็อยากลองดูเสียหน่อย
ภายใต้คำขอของลู่เซิ่น โจวเอ้อติดต่อกับเหยาจ้าว บอกความคิดของลู่เซิ่นให้เหยาจ้าวรับรู้
……
หลังจากที่เหยาจ้าวได้รับข่าว ก็ไปปรึกษากับฉินซีเป็นอย่างแรก
และในเวลานี้
ฉินซีกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการออกจากองค์กร ไปทำภารกิจในวันพรุ่งนี้
ทุกครั้งก่อนที่จะทำภารกิจ ฉินซีจะนำชุดเครื่องมือของตนออกมา
เครื่องมือชุดนี้ผ่านลมผ่านฝนมากับเธอ อยู่มาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะสึกหรอไปบ้าง แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน อีกอย่างฉินซีใช้อันอื่นก็ไม่คุ้นมือ มีเพียงชุดนี้ที่ตรงใจเธอที่สุด
“ก๊อกก๊อกก๊อก…..”
ฉินซีกำลังจัดเก็บของไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
เธอขมวดคิ้ว เอ่ยปากเสียงเบา “เข้ามา”
เวลานี้แล้ว ใครมากันนะ
ในตอนที่ฉินซีกำลังคาดเดา เหยาจ้าวก็ผลักประตูเข้ามา
“ฉินซี ทางฝั่งลู่เซิ่นบอกว่าอยากเจอเธอ”
เหยาจ้าวไม่ได้ยืดเยื้อให้เสียเวลา บอกเรื่องนี้กับเธอไปโดยตรง
เขาไม่ควรอยู่ในห้องของฉินซีนานเกินไป หลีกเลี่ยงที่จำทำให้จ้านเซินสงสัย
“อะไรนะ?”
ดวงตาทั้งคู่ของฉินซีเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ หยุดการเคลื่อนไหวในมือ เอ่ยปากขึ้นด้วยความสงสัย “ไม่ใช่บอกไปแล้วหรอ ว่าตอนนี้จะยังไม่เจอ?”