ฉินซีอยากรู้มากว่า ท่าทางแบบนี้ของเหยาจ้าว ไปเรียนมาจากใครกันแน่ นี่มันดูผู้หญิงเกินไปหรือเปล่า
“นายเป็นแบบนี้ให้มันน้อยๆหน่อย”
ต่อหน้าท่าทางที่เสแสร้งของเหยาจ้าว ฉินซีไม่หลงกลเลย
เขารู้จักกับเหยาจ้าวมาตั้งหลายปี จะไม่รู้อารมณ์ของเขาหรอ?
เหยาจ้าวแม้ปากจะบอกว่าจะไม่ช่วยเหลือเธออีก แต่ในใจก็ยังคงอ่อนไหว
ฉินซีผลักเขาออกอย่างเมินเฉย “นายพูดให้มันปกติหน่อยได้ไหม ฉันไม่ชิน เหมือนอยู่กับตุ๊ด”
การแสดงออกของเธออยู่บนใบหน้า ไม่คิดที่จะซ่อนแม้แต่น้อย
คำพูดที่ตรงไหนตรงมาแบบนี้ ทำให้เหยาจ้าวโดนโจมตีเชิงลึก
เหยาจ้าวเกาหัว เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ถูกสิ ฉันดูบนอินเตอร์เน็ตตอนนี้ไม่ใช่ว่ากำลังนิยมผู้ชายนิสัยแบบนี้หรอ? ทำไมเธอถึงบอกว่าพวกเขาเป็นตุ๊ด?”
ปกติเวลาที่เขาเบื่อ จะดูวีดีโอ
อันที่จริง ทุกครั้งที่เหยาจ้าวเห็นผู้ชายใช้น้ำเสียงเสแสร้งแบบนี้พูดจา ก็รู้สึกว่าแปลกๆ
แต่ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจคือ ตอนที่เขาเปิดคอมเมนต์ กำลังคิดที่จะเยาะเย้ย กลับเห็นการค้นพบที่น่าประหลาดใจ
ในช่องคอมเมนต์ สาวน้อยทุกคนต่างบอกว่า
“หล่อจังเลย! อยากแต่งงานมีลูกกับเขา!”
“สามีสามีสามี!”
“รักเลยรักเลย! สามี รีบกลับบ้านกับฉันเร็ว ลูกร้องไห้แล้ว!”
“คุณยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ฉันติดหนี้คุณลูกสองคน อีกเดี๋ยวจะกลับมาหาคุณ”
คอมเมนต์ตรงไปตรงมาแบบนี้ เหยาจ้าวที่อ่านหน้าแดงไปถึงหู
การแสดงออกของเหยาจ้าวแม้ว่าจะดูเป็นคนไม่จริงจัง แต่เขาก็ยังเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เขาไม่เคยมีความรัก ตอนเด็กเพราะว่าติวเตอร์เข้มงวดมากไม่มีโอกาสสัมผัสเรื่องแบบนี้ หลังจากเติบโตขึ้น เขาก็ทุ่มเทให้กับการเรียนแพทย์ เวลาทั้งหมดใช้ไปกับเรื่องหมอเรื่องยา ยิ่งไม่มีเวลาไปหาแฟน
ดังนั้น เหยาจ้าวจึงไม่รู้ว่าการชอบใครซักคนมันรู้สึกยังไง
ถึงกระนั้น ก็ยังสามารถแยกแยะสาวน้อยเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน อาจจะเพียงแค่พูดไปฝ่ายเดียวเท่านั้น
ไม่อย่างนั้น ของอย่างความรัก มันก็ฉาบฉวยเกินไปหรือเปล่า?
ในใจเหยาจ้าวไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้ แต่เขารู้สึกว่าตนเองถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนแปลงแล้ว สัมผัสกับสังคมใหม่
เขาไม่มีประสบการณ์ด้านความรัก ดังนั้นจึงเรียนรู้จากอินเตอร์เน็ต
ฉินซีหน้าเจื่อน ฟังคำพูดของเขา “ของพวกนี้นายเรียนมาจากอินเตอร์เน็ต?”
เธอเอ่ยปากถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่เข้าใจว่าในสมองของเหยาจ้าวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ไม่ว่ายังไงเหยาจ้าวก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ว่าตามเหตุผล IQ ของเขาก็ไม่ควรโง่ขนาดนั้นถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นจะเรียนข้ามชั้นสอบเข้าปริญญาเอกตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วประสบความสำเร็จกลายเป็นหมอเหยาจ้าวที่อายุน้อยที่สุดในสถาบันวิจัยได้ยังไง
แต่ท่าทางที่เหยาจ้าวแสดงออกมาเมื่อกี้เป็นคนปัญญาอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
เหยาจ้าวมองเธอด้วยความงงงวย พยักหน้าภายใต้การจ้องมองของเธอ “ใช่แล้ว มีปัญหาอะไรหรอ?”
เขาสงสัยว่าหรือว่าตนเรียนมาไม่เหมือน ดังนั้นเลยทำให้ฉินซีเกิดความสงสัย
ฉินซีมองท่าทีโง่เง่าของเขา ในใจก็หมดคำจะพูด
ดูท่าลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนี้จะฉลาดแค่ IQ EQนั้นยุ่งเหยิง
เพื่อเลี่ยงไม่ให้เหยาจ้าวยิ่งเดินยิ่งไกลบนถนนเส้นที่ขรุขระนี้ ฉินซีรีบเอ่ยปากหยุดความคิดแบบนี้ของเขา “พวกที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตล้วนแต่เป็นเรื่องเพ้อฝัน นายอย่าไปเรียนมั่วซั่วจากพวกเขา ถ้านายอยากจะมีแฟน สัมผัสรสชาติของความรักจริงๆ ก็ทำตัวเองให้ดี อย่าเป็นเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องอะไรหรือใคร ซักวันจะมีใครซักคนเห็นแสงที่ประกายอยู่บนตัวนาย มารักนายอย่างแน่วแน่ไม่ลังเล”
ในตอนที่เธอพูดคำนี้ ภาพของลู่เซิ่นก็ปรากฏขึ้นเต็มสมองของเธอ
ในชีวิตนี้ฉินซีไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะได้รู้จักกับลู่เซิ่นในภารกิจนั้น แล้วมีความรักที่ฝังอยู่ในกระดูกลึกลงไปในจิตวิญญาณ
เหยาจ้าวยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถ้าเขาอยากที่จะหาจริงๆ ก็หาได้อย่างง่ายดาย
แต่ฉินซีรู้สึกว่าความรู้สึกเป็นเรื่องของคนสองคน คนหนึ่งพยายามถึงแม้อยู่ด้วยกัน ก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เหยาจ้าวเพียงแค่อยากลองดู เขาไม่ได้อยากจะรักใครซักคนจริงๆ
มองจากบางมุมแล้ว นี่ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงคนนั้น
แม้ว่าฉินซีกับเขาจะเป็นญาติกัน แต่ก็ยังหวังว่าเขาจะไม่เอาอย่างพวกผู้ชายเจ้าชู้บนอินเตอร์เน็ต
“จริงหรอ? เธอคงไม่ใช่เพื่อหยุดฉันจากการหาแฟน เลยจงใจพูดกับฉันแบบนี้หรอกนะ?”
เหยาจ้าวจ้องเธอด้วยความสงสัย มองดูเธอขึ้นขึ้นลงลงว่าเธอกำลังโกหกหรือเปล่า
ได้ยินคำนี้ของเขา ฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด “นายจะไปเข้าใจอะไร? ฉันหวังดีกับนายทั้งนั้น นายไม่เคยได้ยินประโยคนั้นหรือไง?”
เธอลุกขึ้นทันที จ้องไปที่เหยาจ้าวด้วยความโกรธ
“คำเก่าแก่พูดไว้อย่างดี ถ้าคุณเบ่งบาน สายลมพัดผ่าน ถ้าใจขึ้นๆลงๆ รอยยิ้มปลอดภัย”
ฉินซีสุดหายใจเข้าลึก พูดอย่างสง่างาม
คำพูดนี้ในสายตาของเหยาจ้าวช่างไม่คุ้นปาก เขาในฐานะนักเรียนวิทยาศาสตร์ แม้จะผ่านในวิชาภาษา แต่สำหรับพวกศัพท์ทางการ ยังคงไม่ค่อยเข้าใจ
“แปลว่าอะไร?”
เหยาจ้าวเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
ฉินซีคาดไว้แล้ว ว่าเขาจะต้องไม่เข้าใจ จึงเปิดปากอธิบาย “คำพูดนี้เป็นของอาจารย์อีเป่ยจากมหาวิทยาลัยครูปักกิ่ง ดัดแปลงมาจากประโยคเรียงความที่เขียนโดยซานเหมา ใช้บรรยายชีวิตของหลินฮูหยิน”
เธอช่วยเหยาจ้าวเสริมความรู้อย่างคล่องมือ
เหยาจ้างเก่งในสาขาวิทยาศาสตร์ แต่ด้านศิลปศาสตร์กลับทั่วๆไป
ที่เขากลัวที่สุดก็คือการได้ยินคำพูดที่ยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ สมองวิงเวียน มักจะอยากหลับ
เห็นฉินซีจะสอนความรู้ให้เขา แล้วยังพูดวรรณกรรมที่เขาไม่ชอบที่สุด เหยาจ้าวก็รู้สึกหัวพองโตทันที
เหยาจ้าวรีบยกมือขึ้น หยุดคำพูดของเธอไว้ “พอแล้วพอแล้ว เธอก็บอกฉันมาเลย ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไรก็พอแล้ว อย่างอื่นฉันไม่อยากรู้”
เขาทำท่าทางขอร้อง หวังว่าฉินซีจะพอ ไม่สวดต่อ
ฉินซีมองท่าทางที่ไม่อดทนของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตา แต่ด้วยการร้องขอของเขา ก็ยังบอกความหมายของคำพูดนี้กับเขาอย่างครบถ้วน
“ความหมายก็คือถ้านายยอดเยี่ยมพอ เป็นธรรมดาที่จะมีคนมาหานาย เรื่องทุกอย่างก็จะดีขึ้นตาม ดังนั้นนายต้องใจเย็นปล่อยวาง พยายามยกระดับตัวเอง ทำตัวเองให้ดี ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นไปตามกาลเวลาและโชคชะตา”
เธอสรุปความหมายของคำพูดนี้อย่างเร่งรัดชัดเจน ป้องกันไม่ให้ตาบื้อเหยาจ้าวฟังไม่เข้าใจ
ด้วยการอธิบายของฉินซี เหยาจ้าวก็เข้าใจในที่สุด
เหยาจ้าวพยักหน้าทันที “อ๋อ ที่แท้ก็แปลว่าแบบนี้เอง ฉันเข้าใจแล้ว”
ใบหน้าของเขาเผยความตื่นเต้นดีใจ การแสดงออกนี้ยังมีไม่ถึงสามวินาที ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน
จู่ๆสีหน้าของเหยาจ้าวก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมา เขามองไปที่ฉินซีด้วยแววตาเคร่งขรึม พูดขึ้นเสียงดัง “เดี๋ยวก่อน!”