“ช่วย…..ช่วยด้วย!”
ชายหนุ่มเปล่งเสียงที่แผ่วเบาอย่างอ่อนแรง พลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างยากลำบาก
เขาสบประสานสายตากับดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้นของจ้านเซิน ในใจเกิดสั่นสะท้าน
ชายหนุ่มคิดที่จะถอยหลังด้วยความตื่นเต้น แต่ด้านหลังของเขาเป็นเครื่องยนต์ที่จอดอยู่ เขาไม่สามารถหลีกหนีได้เลย
น้ำเสียงที่แหบพร่าของเขาเอ่ยถามขึ้น “พะ…..พวกแกเป็นใคร?”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความกังวล ในใจเขาเป็นกังวลอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเขาถึงได้สลบไปกะทันหัน?
ใช่สิ!
เขานึกออกแล้ว เมื่อสักครู่ได้มีชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าตาดีปรากฏกายขึ้น บอกว่าจะเปลี่ยนรถกับเขา เขาไม่ยอม เพราะงั้นหญิงสาวหน้าตาดีขึ้น ถึงได้ตีเขาจนสลบ
เพราะงั้นกลุ่มคนตรงหน้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับสองคนนั้นกันแน่?
ชายหนุ่มไร้ความเชื่อมั่นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้คือการออกไปจากที่นี่ กลับไปยังบ้าน ล็อกประตูห้องเอาไว้ ไม่ให้พวกเขาแทรกซึมเข้ามาได้
เมื่อจ้านเซินเห็นชายหนุ่มได้สติตื่นขึ้นมาแล้ว จึงก้าวเดินเข้าไปยังชายหนุ่ม เขาไม่ตอบคำถามของชายหนุ่ม พลันปริปากโพล่งออกไปดื้อๆ “พวกเขาไปที่ไหน?”
เขามองชายคนนั้นด้วยสายตาที่เฉียบแหลม ดวงตาที่มืดมิดประกายแววตาที่หลักแหลม ดุจดั่งใบมีดที่แหลมคมปักเข้าที่กลางใจของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต ไม่เคยพบเจอผู้ชายที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ชายหนุ่มขาอ่อนยวบ จนแทบล้มลงกับพื้น
เขารีบประคองรถคันหนึ่งเอาไว้ ถึงได้ไม่เสียหน้าต่อหน้าทุกคน
ชายหนุ่มตระหนกกับภายนอกที่ดูน่ากลัวของจ้านเซิน ในหัวของเขาไม่สามารถตีความถึงความหมายของคำถาม
เขาจับจ้องจ้านเซินอย่างมึนงงพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ใคร?”
เมื่อจบประโยค จ้านเซินหลี่ตา คู่คิ้วขมวดแน่นเป็นปม
ภายใต้การบีบบังคับของจ้านเซิน ชายหนุ่มนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที “คุณหมายถึงหนุ่มสาวเยาว์วัยคู่นั้นใช่ไหม? ผมไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ตอนนั้นพวกเขาบอกว่าจะเปลี่ยนรถกับผม ผมเห็นว่าพวกเขาดูแปลกๆ ก็เลยคิดหนี แต่ถูกพวกเขาตีจนสลบซะก่อน”
เขากล่าวพรางคิดที่จะเดินกลับไปที่รถของตนเอง แต่กลับพบว่ารถของเขาได้หายไปแล้ว
ชายหนุ่มเผยสีหน้าแห่งความร้อนรน “รถของผมล่ะ!”
เขาตะโกนเสียงดังด้วยความบ้าคลั่ง “ต้องเป็นพวกเขาแน่ที่แย่งชิงรถของผมไป”
สายตาของชายหนุ่มตกไปอยู่ที่จ้านเซิน เซนส์ของเขาบอกกับเขา ว่ากลุ่มคนตรงหน้าไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับหนุ่มสาวสองคนนั้น
ลักษณะที่โหดเหี้ยมของจ้านเซิน เหมือนกับว่าต้องการไล่ฆ่าหนุ่มสาวคู่นั้น
เมื่อคิดได้อย่างนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนความคิด “พวกเขาตีผมจนสลบแล้วแย่งชิงรถของผมไป ผมขอร้องล่ะต้องเอารถของผมกลับคืนมาให้ได้”
เขาเดินเข้าไปคิดที่จะกุมมือของลู่เซิ่นเอาไว้ หากแต่ไม่ทันที่เขาได้ก้าวเท้า จั่วยีก้าวเท้าออกมาขวางหน้าของเขาเอาไว้
จ้านเซินเป็นคนที่รักสะอาดมาก โดยปกติแล้วเขารังเกียจที่จะเข้าใกล้ผู้คนมากที่สุด
จั่วยีเผยสายตาที่อันตรายคำรามเสียงดัง “ถอยหลังไป”
ชายหนุ่มจับจ้องเขาที่ขวางหน้าเอาไว้ ความกล้าหาญที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเมื่อสักครู่ มลายหายไปทันพริบตา
เขาเคลื่อนกายชิดกับรถตามคำสั่งของจั่วยีอย่างว่าง่าย
“คุณครับผมไม่รู้จักหนุ่มสาวเมื่อสักครู่นี้จริงๆ ตอนนี้ผมเสียรถไปก็ซวยพออยู่แล้ว ขอร้องล่ะปล่อยผมไปเถอะ”
ชายหนุ่มรู้ตัวขึ้นมาได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ควรล่วงเกิน ไม่แน่หากอยู่ต่อไป เขาจะเอารักษาชีวิตให้รอดได้ยาก
จ้านเซินพิจารณาเขา พร้อมไตร่ตรองในใจ
สำหรับเขา คำพูดของผู้ชายคนนี้ต้องเป็นความจริงแน่
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่นและฉินซีไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันนี้เขาจะปรากฏกายขึ้นกะทันหัน เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดคนให้มารับหน้าตรงนี้
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นเพียงคนข้างทางจริงๆ
จ้านเซินไม่มีนิสัยฆ่าฟันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง เขาเม้มริมฝีปาก “บอกป้ายทะเบียนรถของคุณมา ไม่อย่างนั้นคุณรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ดวงตาจับจ้องชายหนุ่ม
ชายหนุ่มไม่กล้าปิดบังแต่อย่างใด พลันบอกเลขทะเบียนรถกับจ้านเซินอย่างว่าง่าย
จ้านเซินกล่าวอย่างกำชับ “หลังจากที่กลับไปแล้วอย่าบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผลที่จะเกิดขึ้นคุณไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่อาจรับไหวแน่นอน”
ชายหนุ่มแทบจะฉี่ราด กับรอยยิ้มที่กระหายเลือดของเขา
เขาพยักหน้ารับอย่างบ้าคลั่ง พลันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “วางใจได้เลย ขอเพียงแค่คุณไว้ชีวิตผม ผมกลับไปจะปิดปากเงียบแน่นอน ต่อให้ใช้จอบงัดก็งัดไม่ออกครับ”
รถหายยังเปลี่ยนได้ แต่ถ้าหากไม่มีชีวิตทุกอย่างก็จบลง
จ้านเซินเห็นว่าเขายังพอรู้สถานการณ์อยู่บ้าง จึงส่งสายตาให้กับจั่วยี
เมื่อจั่วจีได้รับคำสั่งจากเขา จึงถือโอกาสที่ชายหนุ่มเผลอฟันไปที่ลำคอ
ก่อนที่ชายหนุ่มสลบ เขาแอบก่นด่าในใจ “อีกแล้ว!”
เขาอยากจะรู้มาก จะปล่อยให้เขาขับรถกลับไปเองไม่ได้หรือ ทำไมต้องใช้วิธีแบบนี้ด้วย?
“ยัดเขาเข้าไปในรถ”
จ้านเซินกวาด สายตาพร้อมออกคำสั่ง
จั่วยียัดเขาเข้าไปที่เบาะหลังของรถจี๊ป
ถังย่ายืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอีกด้าน พลันนึกขำในใจ
เจ้าของรถคันนี้โชคร้ายชะมัด ไม่เพียงแต่รถที่รักถูกขโมย แถมยังต้องถูกคนพวกนี้ทรมานอยู่อีก
ถังย่านึกสงสารเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวถาม “จ้านเซิน ถ้างั้นตอนนี้เราจะทำยังไงต่อไปดี?”
ในเมื่อรู้ว่าลู่เซิ่นและฉินซีเปลี่ยนรถหนีไปแล้ว ก็ต้องรู้ป้ายทะเบียนรถใหม่ก่อน แต่ตอนนี้ในป่าในเขาแบบนี้ การที่พวกเขาคิดที่จะไล่ล่าลู่เซิ่นและฉินซีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตอนนี้จ้านเซินเองก็ได้แต่ค่อยเป็นค่อยไป “รอยล้อรถปรากฏขึ้นที่นี่ จั่วยี นายไปตรวจสอบรถทุกคัน สั่งให้พวกเขาไปตามรอยนี้ หากได้พอกับทางแยกก็แยกไปสองทาง”
เขาไม่เชื่อว่าลู่เซิ่นและฉินซีจะติดปีกบินหนีไปได้
จั่วยีพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม “ครับ!”
เขาจากไปอย่างรวดเร็ว เดินไปจัดการเรื่องราวอีกด้าน
จ้านเซินไม่มั่นใจว่าตอนนี้ลู่เซิ่นและฉินซีไปถึงไหนกันแล้ว
ในใจของเขาเกิดความกังวล ต้องไล่ตามให้ทันให้เร็วที่สุด
เขาไม่เสียเวลาอีกต่อไป กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถังย่า ขึ้นรถกับผม”
เขากล่าว พลันขยับเท้าที่เรียวราวขึ้นไปบนรถ
ถังย่าเดินตามหลังไป
……
ในเวลาเดียวกัน ลู่เซิ่นและฉินซีอยู่ในการหนีเอาชีวิตรอดด้วยความเร่งรีบ
ตลอดทาง สีหน้าของฉินซีดูไม่ได้ ใบหน้าดำทะมึนราวกับเมฆสีดำ
เมื่อนึกถึงลู่เซิ่นที่เสียสละเพื่อเขามากมาย หัวใจของเธอก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
ฉินซีเหยียบคันเร่งจนมิด สายตาจับจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ไม่ว่าอย่างไรในครั้งนี้เธอไม่มีทางปล่อยให้จ้านเซินได้ใจแน่ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของเธอก็ตาม
ลู่เซิ่นจับจ้องสีหน้าที่ดำทะมึนของเธอ ดวงตาที่มืดมิดฉายแววแห่งความกังวล “ฉินซี เธอจะพักผ่อนสักหน่อยไหม?”