ต่อให้เป็นฉินซีที่เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฉินซีใบหน้าแดงก่ำ แม้แต่ลำคอเองก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเรื่อไปด้วย “ฉัน……ฉัน……”
เธอคิดที่จะแก้ต่างให้กับตนเอง แต่กลับไร้เหตุผลโ้ต้ตอบใดๆ
ความห่วงใยทำให้เกิดความว้าวุ่นใจประโยคนี้ไม่ผิดเลยสักนิด ตอนนี้ฉินซีอยากจะมุดหายเข้าไปในรูสักแห่ง
“แกอะไรของแก รีบปล่อยเขาซะสิ”
ปู่เช่เอ็ดด้วยทีท่าดุดัน ทำให้ฉินซีเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย
ลู่เซิ่นจ้องทีท่าน่าสงสารของเธอ พลันกล่าวปกป้องเขาอย่างหักห้ามไม่ได้ “คุณปู่เช่ ท่านอย่าว่าฉินซีเลย พูดไปมากกว่านี้เธอจะร้องไห้อยู่แล้ว”
เขาโอบไหล่ของฉินซีเอาไว้ ดึงเข้ามากอด
ทีท่าของลู่เซิ่นที่ปกป้องภรรยา ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ปู่เช่โกรธ ตรงกันข้ามกลับทำให้เขานึกขำเข้าไปใหญ่ “พอได้แล้ว พอได้แล้ว!เรื่องของพวกแกสองคน คนแก่อย่างฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว ฉันไปก่อน แล้วแกเสร็จแล้วก็รีบพักผ่อนซะ”
ปู่เช่กล่าว พรางโบกไม้โบกมือ มุ่งเดินออกไปด้านนอก
เขาปิดประตูให้กับทั้งคู่อย่างเอาใจใส่
ในห้องเงียบสงัด มีเพียงแค่ฉินซีและลู่เซิ่น
ฉินซีมุดอยู่ในอ้อมอกของลู่เซิ่น ได้กลิ่นไม้จันทน์จากตัวเขาอย่างชัดเจน
กลิ่นอายนี้ ทำให้หัวใจที่เต้นตุ้มต่อมของฉินซีสงบลง
ลู่เซิ่นก้มศีรษะสูดดมกลิ่นเครื่องหอมของฉินซี ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ละมุนในอ้อมกอด ลูกกระเดือกที่เซ็กซี่เกลือกกลิ้งขึ้นลง
เขาเกิดเข้าใจขึ้นมากะทันหัน เพราะเหตุใดเมื่อสักครู่ปู่เช่ถึงพูดออกมาแบบนั้น
ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันนาน ไม้แห้งและไฟที่โหมกระหน่ำ ควบคุมไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
อุณหภูมิในห้องสูงขึ้น ไม่รู้เพราะเหตุใด ฉินซีและลู่เซิ่นจู่ๆ ก็จูบขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ขณะที่ลู่เซิ่นคิดที่จะไปต่ออีกสเต็ป ฉินซีพลันได้สติกลับคืนมาเสียอย่างนั้น
เขาขยิบตาจับจ้องลู่เซิ่น จับมือที่ไม่อยู่นิ่งเอาไว้แน่น “ไม่ได้”
ฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงกระเส่า ที่มีตัณหาปนอยู่
ลู่เซิ่นจ้องมองเธอนิ่ง น้ำเสียงแหบพร่า “เป็นอะไรไป?”
ลู่เซิ่นในตอนนี้ ได้ลืมเลือนสิ่งที่ปู่เช่กำชับเสียสิ้น
แม้ว่าฉินซีเองก็อยากที่จะใกล้ชิดกับเขามาก แต่ประโยคของปู่เช่ เธอไม่กล้าที่จะขัด
เธอผลักไสมือของลู่เซิ่นออก จัดแจงเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย “นายอย่าทำอะไรนะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะไปนอนที่เก้าอี้”
ฉินซีแสร้งถลึงตาโตใส่เขาอย่างดุดัน ใบหน้าแดงก่ำ
เธอคิดว่าแบบนี้จะหยุดลู่เซิ่นไว้ได้ แต่ฉินซีไม่รู้เลย ว่าเสียงที่อ่อนหวานของเธอ เสมือนกับเด็กสาวที่ออดอ้อน ไม่เพียงไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับทำให้อีกฝ่ายอยากจะจับคร่อมเธอเอาไว้มากไปกว่าเก่า
ลู่เซิ่นมองเธอที่มีทีท่าโมโหของเธอ พลันยกมุมปาก
เขารู้ว่าฉินซีเป็นห่วงเขา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะวู่วามจริงๆนั่นแหละ
ไร้หนทาง ลู่เซิ่นได้แต่อดทนเอาไว้
เขาดึงแขนของฉินซี รั้งหญิงสาวเอาไว้ “โอเค ฉันไม่เล่นแล้ว เธออย่าโกรธเลย”
ลู่เซิ่นง้อหญิงสาวด้วยความอดทน หวังว่าฉินซีจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง
ฉินซีจับต้องเขาอย่างจริงจัง “ถ้างั้นนายต้องสัญญากับฉัน ตอนนอนอยู่นิ่งๆ หากฉันจับได้ว่านายคิดไม่ซื่อ ฉันก็จะไม่สนใจนายอีกเลย”
เธอจับจ้องลู่เซิ่นนิ่ง รอคำตอบจากชายหนุ่ม
ลู่เซิ่นพยักหน้ารับ “โอเค ผมสาบาน ตอนกลางคืนผมจะนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเด็ดขาด”
เขาเองก็ไม่อยากให้บาดแผลของเขาฉีกเช่นเดียวกัน ลู่เซิ่นยังอยากจะทำสิ่งดีๆ ให้กับฉินซีอีกมากมาย อยากเขาเกิดพิการรักษาไม่ได้ขึ้นมา สำหรับฉินซีแล้ว คือภาระอย่างหนึ่ง
ลู่เซิ่นเข้าใจถึงความรุนแรงในสิ่งนี้ดี เมื่อสักครู่เพียงแค่เขาไม่ทันได้ควบคุมตนเองชั่วขณะ ตอนนี้เขาได้สติกลับคืนมาแล้ว ก็จะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก
เมื่อฉินซีได้ยินเขาพูดอย่างนั้น ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ขณะที่เธอคิดที่จะกล่าว ว่าเราเข้านอนกันเถอะ แต่กลับนึกอะไรบางอย่างได้ มัวเสียเวลาครึ่งค่อนวัน แต่ยังไม่ได้ทายา
ฉินซีได้แต่ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ยกเสื้อขึ้นสิ”
เธอหยิบขวดยาขึ้น ทายาให้กับลู่เซิ่นอย่างตั้งใจ
ทีท่าตั้งใจของเธอ ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน ทำให้รู้สึกใจสั่น
ลู่เซิ่นนึกโชคดีมาก ที่ได้พบกับฉินซี ทำความรู้จักกัน รักกัน
ชีวิตที่เหลือ เขาหวังว่าจะได้อยู่กับฉินซีไปจนแก่เฒ่า
ลู่เซิ่นที่เป็นลูกผู้ชายอกสามศอก โดยปกติแล้วไม่ค่อยได้พูดจาหวานซึ้ง
เขารู้สึกว่า คำพูดจะไพเราะสักเพียงไหน ก็ไม่จริงใจเท่ากับการกระทำ
เมื่อฉินซีช่วยลู่เซิ่นทำแผลเสร็จ เธอแหงนหน้าขึ้น ก็ได้พบกับสีหน้าที่ลึกซึ้งของเขา
เธอนิ่งไปสักพัก พวงแก้มแดงก่ำ พลันกล่าวอย่างประหม่า “นายมองฉันทำไม ยังไม่รีบเข้านอนอีก”
ฉินซีกล่าว พลันสะบัดหน้าไปอีกทาง
เธอถือโอกาสเก็บยา เพื่อหลบหลีก
หากแต่ ลู่เซิ่นไม่คิดที่จะปล่อยเธอไป
ลู่เซิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ผมอยากนอนกอดคุณ”
เมื่อเทียบกับความสุขุมในทุกที ฉินซีได้ยินน้ำเสียงที่ออดอ้อนปนอยู่
ฉินซีเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลันจ้องหน้าเขานิ่ง
เธอยากที่จะเชื่อ ว่าคำพูดแบบนี้ จะออกมาจากปากของลู่เซิ่น
วันนี้ลู่เซิ่นก็ปลดปล่อยเสียที เขาเอื้อมมือไปข้างหน้า รั้งตัวฉินซีเข้ามา “คุณภรรยา นอนกับผมนะ ได้ไหม~”
คำว่าภรรยา แทบจะหลอมละลายกระดูกของฉินซี
ฉินซีสูญเสียพลังการต่อต้านทันที พลันถูกเขาลากไปอย่างนั้น
ลู่เซิ่นในแบบนี้ เธอไม่สามารถกล่าวคำปฏิเสธได้เลย
ฉินซีถูกอุ้มขึ้นเตียงอย่างว่าง่าย ก่อนวางลงบนเตียง
เธอถอนหายใจอย่างไร้หนทาง แม้เธอจะแสดงออกว่าลำบากใจ แต่ในใจกลับดีใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าทานน้ำผึ้งที่หอมหวานเข้าไป
“ก็ได้ เรานอนด้วยกัน”
ฉินซีนอนอยู่ที่จ้างกายเขา ใกล้ชิดติดกับร่างเขาแน่น
ลู่เซิ่นกอดเธอแน่น มองเธออย่างอ่อนโยนราวกับน้ำ
เขาบรรทมจูบบนหน้าผากของฉินซี “ฝันดีนะ คุณภรรยา”
ขนตายาวงอนของฉินซีสั่นเล็กน้อย หัวใจตุ้มต่อม เต้นระรัวอย่างหนัก
เธอไม่รู้ว่าควรที่จะอธิบายความรู้สึกแบบนี้อย่างไร ทั้งตัวเบาหวิว
ฉินซีรู้สึกว่า ครั้งนี้สามารถหนีออกมากับลู่เซิ่นได้ ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน
เธอไม่เคยต้องการที่จะกลับไปที่ที่เย็นชาไร้หัวใจ และลดทอนความเป็นมนุษย์แบบนั้นอีก
ขอเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายลู่เซิ่น ต่อให้ไปที่ที่ลำบากยังไง เธอก็ยอม
“ฝันดี คุณสามี”
ฉินซีกล่าวอย่างหักห้ามไม่ได้ พลันหน้าแดงก่ำ
เธอไม่กล้าลืมตาขึ้น กลัวว่าลู่เซิ่นจะเห็นความเขินอายของเขาในตอนนี้
ลู่เซิ่นเบิกตากว้างอย่างดีใจ อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นเธอหดหัวอย่างกับเต่า จึงนิ่งเงียบ
เขายิ้มอ่อน “หลับเถอะ”
ลู่เซิ่นดึงผ้าห่มขึ้น เพื่อคลุมร่างของเธอ
เขาตบหลังของฉินซีอย่างแผ่วเบา กล่อมเธอหลับอย่างอดทน
วันนี้วิ่งวุ่นมาทั้งวัน ฉินซีอยู่ในสภาพจิตใจที่ตึงเครียดมาโดยตลอด