จ้านเซินขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ยินดี: “เธอกลับมาทำอะไร?”
จ้านเซินมองถังย่าอย่างไม่สบอารมณ์ ราวกับไม่พอใจอย่างมาก ที่เธอกลับมากลางคัน
มือของเขาของบีบคอของเหยาจ้าวเอาไว้แน่น ถังย่าไม่ได้พูดอะไร รีบเดินเข้ามาขวาง
เธอแกะมือของจ้านเซินออก พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม: “จ้านเซิน นายใจเย็นๆหน่อย!”
ถังย่าก็โมโหอยู่บ้างแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรกันแน่จ้านเซินถึงกลายเป็นอย่างนี้
ท่าทีที่เธอโต้ตอบกลับไป ทำให้จ้านเซินหรี่ดวงตาที่อันตรายคู่นั้น
จ้านเซินกัดฟันพูดขึ้น: “ถังย่า ระวังท่าทางของเธอด้วย เธอถลึงตาดูให้ชัดๆนะ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอเป็นใคร!”
มือที่อยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น ความโมโหคุกรุ่นอยู่ในอกของเขา
ถังย่ามองเขาที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า ในใจหลากหลายความรู้สึก
แต่ก่อนจ้านเซิน ไม่เคยใช้ตัวตนมากำราบสมาชิกในองค์กรเลย
เพราะทุกคนล้วนแต่ศรัทธาในตัวของจ้านเซินมาก เพียงแค่เขายืนอย่างสงบอยู่ตรงนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนยินยอมก้มหัวให้เขาแล้ว
แต่ทว่า จ้านเซินในตอนนี้กลับใช้วิธีนี้มาควบคุม เขาเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นคนที่โหดเหี้ยมไร้ความเมตตา ไร้ความรู้สึก จ้านเซินไม่ใช่คนเดิมคนนั้นอีกแล้ว
สายตาที่แปลกไปเช่นนี้ ทำให้จ้านเซินรู้สึกอึดอัด
จ้านเซินเม้มปาก เห็นถังย่ายืนนิ่งไม่พูดไม่จา ความโมโหในใจก็ปะทุขึ้นมาทันที: “ฉันพูดกับเธอ เธอไม่ได้ยินหรือไง?”
เขาจ้องไปที่ถังย่า ในดวงตาดำขลับเปล่งประกายความเย็นยะเยือกออกมา
ถังย่าค่อยๆยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พูดถากถาง: “จ้านเซิน นี่นายไม่รู้สึกว่าท่าทางตอนนี้ของนาย แย่มากจริงๆงั้นเหรอ?”
เธอเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมา ไม่ไว้หน้าของจ้านเซินเลย
ไม่เคยมีใครหักหน้าจ้านเซินอย่างนี้มาก่อน ในเมื่อตอนนี้คนมากมายในองค์กรต่างก็พร่ำบ่นจ้านเซินกันอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของจ้านเซินซึ่งๆหน้าเลย
ประเด็นสำคัญคือพวกเขากังวลว่าแค่จ้านเซินโมโหก็จะลงมือฆ่าพวกเขาทันที แต่ถังย่ากลับไม่กลัว
เทียบกับความตายแล้ว สิ่งที่ถังย่ากลัวที่สุดคือ ได้แต่มองดูจ้านเซินตกต่ำลงไปเรื่อยๆอย่างนี้
เธอเติบโตมากับจ้านเซินตั้งแต่เด็ก ในใจของถังย่าชัดเจนที่สุด จ้านเซินเป็นคนมีเหตุผลมีการแก้แค้นเอาคืน
ตั้งแต่หัวหน้ารุ่นก่อนขององค์กร ก็คือพ่อของจ้านเซินหลังจากมอบตำแหน่งมาไว้ในมือของจ้านเซินแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆไม่กี่ปี องค์กรก็สามารถพัฒนาใหญ่โตขึ้นไปได้หลายเท่า
ความดีความชอบทั้งหมดนี้ มีที่มาจากจ้านเซินทั้งนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะจ้านเซินชอบฉินซี ส่วนฉินซีกลับชอบลู่เซิ่น จนต้องออกจากองค์กร ตอนนี้องค์กรน่าจะยังคงรุ่งเรืองเฟื่องฟู
ถังย่าไม่อยากเห็นจ้านเซินโดนความรักทำลาย แล้วก็ไม่อยากเห็นองค์กรที่ฟูมฟักเด็กกำพร้ามากมาย สูญหายไปเพราะผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนี้
ดังนั้น ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายจากความตาย ถังย่าก็หวังว่าจะตำหนิเพื่อปลุกให้จ้านเซินตื่นขึ้นมาได้
แค่รู้ว่าจะฟื้นฟูจ้านเซินคนเดิมกลับมาได้ ให้เธอทำอะไรก็ยินยอมทั้งนั้น
“นายรู้ไหมว่าตอนนี้คนในองค์กรพูดถึงนายว่ายังไง?”
ถังย่ายืนกั้นอยู่ระหว่างจ้านเซินกับเหยาจ้าว ขัดขวางไม่ให้เขาลงมืออีก
เธอก้าวเท้าอย่างแน่วแน่ ค่อยๆเข้าไปใกล้ๆจ้านเซิน: “พวกเขาบอกว่าจ้านเซินก็คือผู้นำที่ใช้อำนาจตามอำเภอใจลุ่มหลงผู้หญิงจนขาดสติ เพื่อผู้หญิงคนเดียวแม้แต่องค์กรก็ไม่ต้องการแล้ว พวกเขาบอกว่านายมันไร้ความสามารถ โดนผู้หญิงปั่นหัวเล่น พวกเขาบอกว่า ไม่ช้าก็เร็วองค์กรจะโดนทำลายด้วยน้ำมือของนาย!”
ถังย่าพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเคร่งขรึม
เธอโมโหมากจริงๆ ไม่ยินยอมที่จะเห็นจ้านเซินเอาแต่ตกต่ำลงไปอย่างนี้
ถังย่ารักจ้านเซินคนก่อนที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ฝีมือปราดเปรียวร้ายกาจ สง่าผ่าเผย
เธอรักท่าทางที่ยโสโอหัง ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ของจ้านเซินมากๆ แต่ตอนนี้ถังย่าไม่ได้เห็นความรู้สึกที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาบนตัวของเขาอีกแล้ว
จ้านเซินเบิกตาโพลงอย่างเหลือเชื่อ คำพูดของถังย่าราวกับมีดคมๆ แต่ละประโยคแทงเข้ามาที่หัวใจของเขาลึกๆ
เขาโดนเสียดแทงจนต้องถอยหลังเล็กน้อย กำหมัดแน่น
สายตาที่แวววาวของจ้านเซินกำลังมองเธอ กัดฟันพูดขึ้น: “ใครพูด!”
เขาพูดด้วยเสียงดุดัน มาพร้อมกับความรู้สึกที่จะออกไปสู้รบ
เผชิญหน้ากับคำถามของจ้านเซิน ถังย่าก็หัวเราะเยาะออกมา: “นายจะอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไม จะถือโอกาสตอนที่ฉันไม่อยู่ เรียกคนพวกนั้นที่พูดถึงนายมา แล้วฆ่าพวกเขาให้ตาย อย่างนี้ในองค์กรจะได้ไม่มีคนกล้าต่อต้านนายอีกใช่ไหม?”
ถังย่าพูดประชดประชัน เธอโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม: “ฉันจะบอกให้นะ ต่อให้นายทำอย่างนั้น ก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ ท่าทางของนายตอนนี้ ไม่ต่างจากผู้นำที่เผด็จการเลย!”
เธอจ้องเขม็งไปที่จ้านเซิน ไม่กลัวเขาโกรธเลยสักนิด
วันนี้ถังย่าจะต้องต่อว่าเพื่อเรียกสติของจ้านเซินกลับมาให้ได้ เธอจึงพูดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
เหยาจ้าวที่ยืนอยู่ด้านหลัง มองด้านหลังที่บอบบางของเธอ ในใจสับสน
ฝ่ามือของเขามีเหงื่อผุดขึ้นมาบางๆ ในชีวิตนี้ผู้หญิงสองคนที่เขาเลื่อมใสที่สุด ต่างก็อยู่ในองค์กรนี้
คนหนึ่งคือฉินซี อีกคนหนึ่งคือถังย่า
นิสัยของเธอสองคนไม่เหมือนกันเลย แต่กลับเด็ดเดี่ยว แข็งแกร่งเหมือนกัน
ถังย่ากับฉินซีต่างก็เป็นคนสวยที่ไม่เป็นรองใคร หากเปลี่ยนเป็นนิสัยของผู้หญิงทั่วไป ต้องโดนประคบประหงมจนกลายเป็นเจ้าหญิงแน่ๆ แต่พวกเธอที่อยู่ในองค์กรกลับบุกน้ำลุยไฟ ทุกครั้งหลังกลับมาจากปฏิบัติภารกิจ บนร่างกายก็มีร่องรอยบาดแผลที่ลบไม่ออกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
แต่ พวกเธอไม่เคยพูดว่าลำบากและเหนื่อยเลยสักครั้ง
เพื่อองค์กร พวกเธอเสียสละตนเองได้เสมอ
ตอนนี้เพื่อองค์กร เพื่อจ้านเซินแล้ว ถังย่าจึงยืนขึ้นมาอีกครั้ง
เหยาจ้าวกังวลมากว่า จ้านเซินจะไม่น้อมรับน้ำใจนี้ แล้วฆ่าถังย่าให้ตายทันที
ในฐานะที่เขาเป็นหมอ จึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของจ้านเซินแปรปรวนมาก
ถ้าเป็นไปได้ เหยาจ้าวอยากจะช่วยทำการตรวจร่างกายให้จ้านเซิน แต่เขารู้ว่า จ้านเซินคงไม่เห็นด้วยแน่ๆ
บางที ถังย่าอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้จ้านเซินลงมาจากแดนสวรรค์ได้
ด้านหนึ่งเหยาจ้าวก็รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของถังย่า อีกด้านหนึ่ง ก็หวังว่าถังย่าจะสามารถโน้มน้าวจ้านเซิน ให้เขาสงบลงได้
จ้านเซินยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ยืดตัวตรง
ในวินาทีนี้ เขาไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอะไรอยู่
ตั้งแต่จ้านเซินเกิดมา ก็อยู่ในองค์กรมาโดยตลอด
หลายปีมานี้ จ้านเซินแทบจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อองค์กร ถ้าองค์กรต้องการ เขาถึงขั้นยินยอมมอบชีวิตให้เป็นค่าตอบแทน
เขาคิดว่าตนเองทำเพียงพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้รับการประเมินค่าอย่างนี้
บนใบหน้าที่หล่อเหลาของจ้านเซินยิ้มเยาะตนเอง จู่ๆเขาก็หัวเราะออกมาอย่างเสียสติ
“ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงหัวเราะดังลั่น ก้องไปทั่วห้องทดลอง
ตั้งแต่หลังจากถังย่ากับเหยาจ้าวรู้จักจ้านเซิน ก็ไม่เคยเห็นเขาหัวเราะเสียงดังขนาดนี้มาก่อน
บนใบหน้าของทั้งสองคนปรากฏความประหลาดใจ ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย แต่กลับยิ่งกังวลมากขึ้น
พวกเขารู้ดี ตอนนี้จ้านเซินไม่ได้หัวเราะออกมาจากใจ ท่าทางของเขา ยิ่งเหมือนกับจิตใจที่มีชีวิตชีวากำลังพังทลายลง