ถังย่าไม่ได้ตอบคำถามของจ้านเซิน
เพราะว่าคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เดิมจ้านเซินก็ไม่ได้จะรอถังย่าตอบคำถามแล้วค่อยพูด เขาไม่ได้หยุดเว้นวรรคแม่แต่วินาทีเดียว แล้วพูดกับตัวเองต่อไปว่า:“นานมากแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้เห็นเขามีความสุขแบบนี้”
ฉินซีอาจจะยังไม่รู้ตัว ว่าจ้านเซินเข้าใจเธอลึกซึ้งมากแค่ไหน บางครั้งเพียงแค่แวบตาเดียว เขาก็เห็นฉินซีที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แท้ที่จริงแล้วมีความสุขจริงๆเหรอ หรือแกล้งมีความสุขกันแน่
เพียงแต่ว่าจ้านเซินก่อนหน้านี้ ไม่เคยสนใจว่าเธอมีความสุขจริงๆมั๊ย
สำหรับเขาแล้ว แค่ฉินซีอยู่ข้างๆกายของเขา ก็พอแล้ว
สำหรับรอยยิ้มของเธอจะจริงใจหรือไม่นั้น ไม่สำคัญเลย
แต่พอดูคลิบวิดีโอที่อยู่ในมือนี้ จ้านเซินกลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ในคลิปวิดีโอฉินซีสวมหน้ากากหนังมนุษย์ ดังนั้นจึงมีใบหน้าที่เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย
แต่ก่อนตอนอยู่ในองค์กรเธอก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ไปทำภารกิจ แต่ฉินซีกลับไม่ค่อยยินยอม เพราะว่าเธอมักจะรู้สึกไม่สบายใจที่หน้ากากหนังมนุษย์เหมือนจริงจนเกินไป ทำให้มีหวาดกลัวเล็กน้อย
ดังนั้นในสถานการณ์ที่จะต้องสวมหน้ากาก เธอมักจะไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก พอมีโอกาสดึงหน้ากากออก เธอก็จะดึงหน้ากากนั้นออกทันที
แต่เธอในคลิปวิดีโอ ทั้งทั้งที่เธอกำลังสวมหน้ากากอยู่ กลับมีความสุขมาก
จ้านเซินมองออกว่า เธอมีความสุขมาจากก้นบึ้งหัวใจของเธอจริงๆ
เขาไม่เข้าใจ ทั้งทั้งที่แต่ก่อนเธอรังเกียจสิ่งนั้นมาก ทำไมเธอยังยิ้มแบบมีความสุขได้?ถังย่ายังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร
เธอไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนในการเอ่ยปากออกมา และไม่รู้ว่าจะพูดในฐานะของอะไร
บางทีอาจจะเป็นเพราะยาระงับประสาท จึงทำให้วันนี้จ้านเซินไม่เหมือนแต่ก่อน เขานิ่ง และเปิดโทรศัพท์ที่แบตใกล้จะหมดอีกครั้ง เพื่อจะกดเปิดคลิปวิดีโอนั้น
ในที่สุดถังย่าก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างๆเขา เอามือปิดหน้าจอไว้ : “ไม่ต้องดูแล้ว”
จ้านเซินไม่ได้ขยับ ปล่อยให้ถังย่าปิดหน้าจอโทรศัพท์ แต่เขาก็ไม่ได้ละสายตาไปไหน ยังคงมองไปข้างหน้าเหมือนเดิม
ถังย่าหันไปมอง เพิ่งพบว่าสายตาของเขานั้นเหม่อลอย
ถังย่ารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ที่แท้การที่เรารักใครสักคน……ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ขอเพียงให้เขามีความสุขก็พอแล้ว
ส่วนตัวเองจะได้อยู่เคียงข้างเขาหรือไม่ ไม่ได้สำคัญเลย
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว คำพูดที่พูดออกมาราวกับเสียงถอนหายใจ
“จ้านเซิน ถึงเวลาที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว”
ความคิดของจ้านเซินถูกเธอตัดบทไป เขาเงยหน้าขึ้น แล้วกะพริบตาด้วยความสับสนเล็กน้อย
“จบ?ทำไมต้องจบ?”
ถังย่าฝืนยิ้ม เธอพูดในใจว่า “เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ฉินซีจะกลับมาอยู่เคียงข้างคุณ”
แต่ถ้าพูดตอนนี้ เธอเกรงว่าจะไปกระตุ้นอาการของจ้านเซิน สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกมา
จ้านเซินเห็นว่าเธอไม่ตอบ และหลบสายตา จึงพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง ย้ำคำพูดที่ฉินซีพูดในคลิปวิดีโออีกครั้ง: “พวกเรากลับไปที่เมืองหนานหลัง อีกสองวัน ที่เมืองหนาน จะเป็นเวลาที่จบเรื่องทั้งหมด”
หลังจากที่เขาพึมพำกับตัวเองเสร็จ จู่ๆก็หัวเราะแบบเย็นชา
“จบ?ได้ เราจะจบเรื่องนี้กัน”
น้ำเสียงที่โหดเหี้ยมของเขาทำให้ ถังย่าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ๆประตูห้องคนไข้ก็ถูกเปิดออก
ถังย่าเงยหน้าขึ้นทันที พบว่าคนแรกที่เดินเข้ามานั้นเป็นคุณหมอที่ดูแลจ้านเซิน จึงโล่งอกไป
และพยาบาลที่เพิ่งนำทางให้เธอคนนั้น เดินตามหลังคุณหมอด้วยความหดหู่ใจ
“สถานการณ์ของคนไข้ยังไม่แน่นอน เธอกล้าพาคนเข้ามาได้ยังไง!” น้ำเสียงของคุณหมอเข้มงวดมาก เห็นอย่างได้ชัดว่ากำลังดุพยาบาล
นางพยาบาลไม่กล้าเอ่ยปากอะไร ได้เพียงแต่ก้มศีรษะอย่างเงียบๆ
คุณหมอเดินเร็วมาก เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงข้างเตียงข้างจ้านเซิน เมื่อกำลังจะก้มลงเช็ค จู่ๆก็สบสายตากับจ้านเซินที่ลืมตาอยู่
เขามีประสบการณ์มากมาย ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
นี่คือปริมาณสามเท่าของยากล่อมประสาท คนปกติธรรมดายากมากที่จะต้านทานได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะตื่นขึ้นมาในเวลาสั้นๆไม่กี่ชั่วโมง
ตอนแรกเขาเกือบคิดว่าจ้านเซินจะต้องถูกคนอื่นรบกวนแน่ๆ ดังนั้นเขาถึงหันไปมองที่ถังย่า เมื่อกำลังจะเอ่ยปากถาม จ้านเซินดูเหมือนจะมองทะลุไปความคิดของเขา จึงเอ่ยปากพูดไปแบบขี้เกียจว่า: “ฉันตื่นขึ้นมาเอง ยาของพวกคุณทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
น้ำเสียงที่ไม่แยแสของเขาทำให้คุณหมอรู้สึกโกรธมาก
เขารู้ว่าภูมิหลังของจ้านเซินไม่ธรรมดา แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้
“ดูเหมือนตอนนี้คุณจะใจเย็นลงบ้างแล้ว” คุณหมอพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ถ้าอย่างงั้นก็นอนพักผ่อนบนเตียงให้ดี ให้ยากล่อมประสาทหมดฤทธิ์ก่อนถึงแขกถึงเข้าเยี่ยมได้”
พูดจบ เขาดูเหมือนจะเหลือบไปมองถังย่า
ถังย่ารู้ว่าเขาพูดประโยคนี้ให้เธอฟัง และไม่ได้วางแผนที่จะโต้แย้ง ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปข้างนอก
อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้ทำอะไรเลย เดิมทีเธอแค่อยากจะดูว่าจ้านเซินยังดีอยู่มั๊ย เธอไม่คิดเลยว่าจ้านเซินจะฟื้นขึ้นมา และไม่คิดว่าเวลาสั้นๆไม่กี่นาทีที่พบกัน จะเปิดเผยความรักที่ซ่อนเร้นมานานหลายปีของตัวเอง
แต่ตอนนี้พูดอะไรก็สายเกินไปแล้ว ถังย่าหัวเราะเยาะตัวเอง เดินไปที่ข้างประตู แต่จู่ๆจ้านเซินกลับพูดขึ้นว่า “ตรวจสอบจูจื้อซิน เขามีปัญหา”
เสียงฝีเท้าของถังย่าหยุดลง
เมื่อกี้เขามัวแต่ยุ่งคอนเฟริมความปลอดภัยของจ้านเซินก่อน จากนั้นก็ต่อสู้กับปัญหาความรู้สึกระหว่างเธอกับจ้านเซิน จนลืมแม้กระทั่งลูกศิษย์คนนี้ของตัวเอง
แต่พอจ้านเซินเตือนเธอ เธอก็สังเกตเห็นว่า……ตลอดทางนี้ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของจูจื้อซินเลย
ก่อนที่เธอจะไปหาลู่เซิ่นกับฉินซียัง มอบหมายให้เขาเฝ้าดูจ้านเซินให้ดีๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแค่สมาชิกธรรมดาขององค์กร แต่เมื่อหัวหน้าเกิดเรื่อง ก็ไม่ควรที่จะหนีไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างนี้
ถังย่ามอบความอ่อนโยนและความรู้สึกที่เห็นอกเห็นใจให้แต่จ้านเซินเท่านั้น ทั้งๆที่จูจื้อซินเป็นลูกศิษย์ของตัวเอง เขากลับไม่ไว้วางใจเลย แต่กลับคล้อยตามคำพูดของจ้านเซิน เธอสงสัยในตัวของจูจื้อซินเล็กน้อย
“ฉันรู้แล้ว” ถังย่าพูดตอบอย่างเรียบง่าย ก่อนที่คุณหมอที่อยู่กำลังจะเร่งให้เธอออกไปอีกครั้ง เธอเปิดประตู และเดินออกจากห้องคนไข้อย่างเด็ดขาด
ในห้องคนไข้เหลือแค่คุณหมอกับจ้านเซิน อันดับแรกเขาตรวจสอบสภาพร่างกายของจ้านเซินอีกครั้งอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็รู้แปลกประหลาดที่พบว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ยาระงับประสาทขนาดสามเท่าไม่เพียงไม่ได้ก่ออันตรายต่อร่างขายของเขาเท่านั้น แม้แต่กระทั่งฤทธิ์ของยาก็ไม่ได้ผล ดังนั้นเขาจึงฟื้นขึ้นมาก่อน โดยที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนอื่นสักนิดเลย
คุณหมออึ้งอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาทางสีหน้า แค่บอกกำชับให้เขานอนพักผ่อน จากนั้นเขาก็นำข้อมูลที่มีอยู่ออกไปวิเคราะห์
หลังจากที่เขาปิดประตูแล้ว จ้านเซินกลับไม่ได้ทำตามที่คุณหมอกำชับเลย เขากลับอยากลุกขึ้นแล้วลงจากเตียง