ถังย่าไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งฝ่าไฟแดงบนถนนไปมากเท่าไหร่แล้ว แต่เธอกลับไม่ชอบใจที่ความเร็วของตัวเองยังช้าเกินไป
โชคดีที่เธออยู่ไม่ไกลจากสวนสนุกอยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอก็เหยียบเบรก แล้วหยุดที่หน้าประตูพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่กล่าวถึงในโพสต์ Weiboนั้น
เธอไม่แน่ใจว่าตอนนี้สองคนนั้นยังอยู่ในนี้รึเปล่า แต่ก็ทำได้เพียงวิ่งเหยาะๆเข้าประตูไปด้วยความหวังริบหรี่ แล้วตรงไปยังสถานที่ที่พวกเขาถ่ายรูปกัน
เมื่อเทียบกับสวนสนุกแล้ว ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมีน้อยมาก ห้องโถงนิทรรศการหลายแห่งเกือบจะว่างเปล่าไปทั้งหมด นอกจากนี้ห้องโถงนิทรรศการที่ฉินซีและคนอื่นๆถ่ายรูปกันนั้นเดิมทีก็อยู่ไกลอยู่แล้ว ถังย่าจึงรีบเข้าไปที่ประตูด้วยความรีบเร่ง เพียงกวาดสายตามองดูเท่านั้น หัวใจของเธอก็จมลึกลงไปในทันที
……ไปแล้ว
ภายในห้องโถงนิทรรศการว่างเปล่า มีเพียงชายที่มีรูปร่างผ่ายผอมคนหนึ่ง เมื่อมองออกไปก็ไม่มีร่างของลู่เซิ่นกับฉินซีเลย
ในใจของเธอรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะเสียเวลาอยู่ในนี้ต่อไป จึงหันหลังกำลังจะเดินออกไปข้างนอก กลับถูกผู้ชายคนนั้นเรียกเอาไว้
“ไม่ทราบว่า…คุณคือถังย่าใช่ไหมครับ?”
ถังย่าหยุดชะงักฝีเท้าลง แล้วหันไปมองชายคนนั้นด้วยสายตาที่เย็นชาเล็กน้อย “คุณเป็นใคร?”
……
ในขณะนี้ลู่เซิ่นกับฉินซีได้ออกไปจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้ว
รูปโฉมภายนอกของทั้งสองคนสะดุดตามากเกินไป ในตอนนี้พวกเขาต่างก็แสดงเป็นผู้ชาย พอเดินออกมาข้างนอกก็มีคนจ้องมองเยอะเกินไป สุดท้ายพวกเขาก็ไม่เอาแต่ใจตัวเองอีกต่อไปแล้ว จึงกลับเข้าไปในรถอย่างว่าง่าย
“ตอนนี้จะไปไหนล่ะ” ลู่เซิ่นสตาร์ทรถแล้ว กลับไม่ได้รีบขับออกไปข้างหน้า แต่หันไปมองที่ฉินซี
ฉินซียังสวมหน้ากากนั้นอยู่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นใบหน้าของคนแปลกหน้า แต่ลู่เซิ่นกลับดูเหมือนว่าจะสามารถมองทะลุผิวหนังที่แปลกปลอมนี้และมองเห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่แท้จริงของฉินซีได้
เธอไม่ได้มองไปที่ลู่เซิ่น แล้วก็ไม่ได้ตอบคำถามของลู่เซิ่นด้วย แต่กลับจ้องมองไปข้างหน้า แล้วถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำอย่างนี้ ไม่เสียใจเหรอ?”
ลู่เซิ่นยิ้มอ่อนๆ แล้วพูดว่า “ไม่เลย”
……
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตอบคำถามของถังย่าเลย แต่เขากลับหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ความสงสัยที่อยู่ภายในใจของถังย่าก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม และไม่รีบร้อนเดินออกไปหาลู่เซิ่นกับฉินซีแล้ว แต่กลับก้าวเท้าเดินไปอยู่ข้างๆผู้ชายคนนั้น แล้วถามอีกครั้งว่า “คุณเป็นใคร?”
พอเดินเข้าไปสองสามก้าว ถังย่าจึงเห็นรูปร่างลักษณะของผู้ชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะพยายามก้มศีรษะลงอย่างสุดความสามารถ แต่ถังย่าก็ยังเห็นรอยขีดข่วนและรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน และการหลบหลีกก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ ดูเหมือนว่า…ถูกทุบตีมาอย่างไรอย่างนั้น
หรือว่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับองค์กร?
ถังย่ากำลังค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในหัวสมองอย่างรวดเร็ว แต่กลับได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั้นเอ่ยปากพูดออกมาด้วยเสียงที่เบามากว่า “มีคน…ให้ผมเอาสิ่งนี้มาให้คุณ”
ในขณะที่กำลังพูด ก็ยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งออกไปอย่างสั่นเทาไปด้วย
โทรศัพท์ดูใหม่เอี่ยมและแทบไม่มีร่องรอยการใช้งานใดๆเลย แต่เมื่อถังย่าเปิดหน้าจอให้สว่างขึ้นมา กลับมีการแสดงหน้าจอสำหรับป้อนรหัสผ่านปรากฏขึ้น
เธอขมวดคิ้ว แล้วเงยมองไปที่ชายคนนั้นและพูดว่า “รหัสคืออะไร?”
“ผม……ผมไม่รู้” ชายคนนั้นส่ายศีรษะอย่างแรง “ผู้ชายสองคนนั้นเพียงแค่ให้ผมเอาโทรศัพท์มาให้คุณเท่านั้น และบอกว่า…พอเอาให้คุณแล้ว คุณก็จะรู้เอง”
ปฏิกิริยาแรกของถังย่าคือตัวเองได้ถูกยั่วเย้าเสียแล้ว
ผู้ชายสองคนนี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเองนะ?
ใครเป็นคนคิดเรื่องพิเรนทร์นี้ขึ้นมา หรือมีคนตั้งใจอยากจะถ่วงเวลาของเธอ?
ขณะที่เธอกำลังจะอารมณ์เสีย ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาในหัวสมองของเธอ
ผู้ชายสองคนเหรอ?
ฉินซีกับลู่เซิ่นในตอนนี้……ไม่ใช่ว่าอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้ชายสองคนหรอกเหรอ?
หรือว่าจะเป็นพวกเขา?
พอคิดถึงตรงนี้ ความโกรธที่อยู่ภายในหัวใจของถังย่าก็หายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นความสงสัยเต็มไปหมด
ผู้ชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับลู่เซิ่นหรือฉินซีได้ ทำไมพวกเขาสองคนถึงได้ปล่อยให้เขาฝากข้อมูลมาให้ตัวเอง ทำไม…พวกเขาถึงได้ฝากข้อมูลให้เธอ?
ในหัวใจของถังย่ามีคำถามมากมายที่ต้องการคำอธิบาย แต่ในเวลานี้กลับไม่มีเวลาที่จะไปถามอีก เธอทำได้เพียงใช้สายตาส่งสัญญาณไปให้ผู้ชายที่พยายามจะเดินจากไปคนนั้นอยู่ที่เดิมโดยไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะลงและครุ่นคิดรหัสผ่านของโทรศัพท์ขึ้นมา
ข้อมูลที่พวกเขาสองคนฝากมาให้เธอ….จะเป็นการเข้ารหัสแบบไหนกันนะ?
รหัสผ่านนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสามคนอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องเป็นวันที่สำคัญมากสำหรับพวกเขา
หรือว่าจะเป็น……
ในขณะที่ถังย่ากำลังลังเลใจอยู่ ก็พิมพ์วันที่ฉินซีถูกนำตัวออกมาจากรีสอร์ทชิงหยวนเป็นครั้งแรก
อันที่จริงเธอเป็นหนอนบ่อนไส้ที่แฝงตัวอยู่ข้างใน จึงทำให้ฉินซีต้องออกห่างจากลู่เซิ่น
ผิดพลาด
ถังย่าขมวดคิ้ว ครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง แล้วก็เข้ารหัสด้วยวันที่ใหม่
วันนั้นที่เดิมทีฉินซีวางแผนจะจัดนิทรรศการภาพถ่าย
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอทำความรู้จักกับฉินซีอย่างเป็นทางการ
ผิดพลาด
ถังย่าแทบจะหงุดหงิดนิดหน่อยแล้ว และลองออกใส่วันที่อีกสองสามครั้ง ซึ่งวันที่เหล่านั้นต่างก็ผิดหมดเลย
ถ้าหากใส่รหัสผิดพลาดอีกครั้ง โทรศัพท์จะถูกล็อคโดยอัตโนมัติ
เธอกัดริมฝีปากไปมา ทันใดนั้นเมื่อโชคมามันสมองก็ปราดเปรื่อง เธอได้ใส่วันที่ที่ฉินซีกับลู่เซิ่นแต่งงานกัน
แล้วโทรศัพท์ถูกปลดออกโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ
ในหัวใจของถังย่ามีหลากหลายความรู้สึกผสมปนแปกันไป เธอบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง แต่เธอก็ไม่ไปใส่ใจอะไรมาก จึงก้มหน้าก้มตาเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ด้านในของโทรศัพท์ยังใหม่เอี่ยมเหมือนกับด้านนอก และแทบไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ใดๆ เกือบจะเหมือนอย่างที่เธอสังหรณ์ใจเอาไว้เลย แล้วเธอก็กดเข้าไปในอัลบั้มโดยตรง
คิดไม่ถึงเลยว่าในอัลบั้มจะไม่มีรูปถ่ายใดใดเลย มีเพียงวิดีโอคลิปหนึ่งคลิป
ถังย่าเอื้อมมือออกไปเปิดวิดีโอ จึงพบว่านิ้วมือของตัวเองสั่นเล็กน้อย
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงของลู่เซิ่นกับฉินซีดังออกมาจากในโทรศัพท์
“helloถังย่า สวัสดีจ้า”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานที่ถ่ายทำก็คืออยู่ในห้องโถงนิทรรศการแห่งนี้ แต่สาเหตุเป็นเพราะแสง ใบหน้าของคนทั้งสองคนในวิดีโอก็เลยไม่ชัดเจน ถังย่าได้แต่วินิจฉัยออกมาจากเสียงนั้น ว่าคนที่พูดอยู่คือฉินซีนั่นเอง “ฉันเดาว่าถ้าจะมีใครมาหาเรา คนคนนั้นน่าจะเป็นเธอ ดังนั้นก็เลยตัดสินใจถ่ายวิดีโอนี้ด้วยตัวเองเพื่อเป็นสื่อในการสื่อสารกับเธอ”
เสียงของฉินซี ไม่เหมือนกับถังย่าที่คาดการณ์เอาไว้เลย
เธอนึกว่าตลอดทางที่ลู่เซิ่นกับฉินซีหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนมาเป็นเวลานานขนาดนี้ทั้งสองคนน่าจะหน้าตาดูไม่ได้และอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเสียอีก นึกไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะมีเวลาว่างมาเที่ยวสวนสนุกอย่างสบายใจอย่างนี้ และก็คิดไม่ถึงเลยว่าฉินซีจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสำเนียงที่แทบไม่มีความแตกต่างกับตอนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในบ้านตระกูลลู่ก่อนหน้านี้เลย และไม่มีความหงอยเหงาเศร้าซึมใดใดด้วย
ถังย่ามีความรู้สึกลงอนิจจังเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดเธอก็สงบสติอารมณ์เอาไว้ แล้วฟังฉินซีพูดต่อ
แต่ทว่าคนที่พูดได้เปลี่ยนเป็นลู่เซิ่นแล้ว
เสียงของเขาก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อนเลย ยังมีท่าทางที่สงบจิตสงบใจเหมือนเดิม ราวกับว่าตอนนี้เขาไม่ได้ถูกตามล่าอยู่เลย แต่ทว่าเขาได้ดำเนินการจัดการเจรจาพูดคุยเอาไว้นานแล้วอยู่ในห้องประชุมห้องไหนสักห้อง
“ขอขอบคุณพวกคุณที่มอบประสบการณ์ชีวิตในการหลบหนีให้กับพวกเรา ให้พวกเราได้เก็บเกี่ยวช่วงเวลาและอิสรภาพในการอยู่ร่วมกันสองคนที่ไม่อาจเกิดขึ้นโดยง่าย เพียงแต่ตอนนี้เรารับได้ประสบการณ์มามากพอแล้ว อยากกลับไปใช้ชีวิตปกติสุขแล้ว”
ฉินซีหัวเราะเบาๆ แล้วพูดคล้อยตามว่า “ใช่ค่ะ ฉันก็อยากใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนกัน แม้ว่าการเดินทางไปตามที่ต่างๆแบบนี้มันจะสนุกดี แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่แผนระยะยาวที่เราอยากจะทำ”
ถังย่าหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
ก็คงจะปากแข็งสินะ ชีวิตที่หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนแบบนี้ก็ยังจะฝืนเรียกว่า “การเดินทาง”ได้อีก
แม้ว่าเธอเองก็จำต้องยอมรับเหมือนกันว่า ช่วงเวลานี้ของฉินซีกับลู่เซิ่นนั้นมีอิสระมากกว่าเมื่อก่อนจริงๆ
ในภาพ ลู่เซิ่นยื่นมือออกไปโอบกอดฉินซีเอาไว้
แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน แต่ถังย่าก็ยังรู้สึกได้ว่าดวงตาของลู่เซิ่นกำลังจ้องมองมาที่หน้าจอ และเขาก็กำลังพูดคำต่อคำอยู่
“ได้เวลาอันสมควรแก่การยุติทุกสิ่งทุกอย่างแล้วสินะ”