บนหน้าของฉินซียิ้มอย่างสบายใจ เธอเดินเข้าไปหาเวินจิ้งอย่างช้าๆ น้ำเสียงเบา “ไม่มีใครเคยสอนคุณหรอว่า เวลาอยู่ในบาร์ อย่าปล่อยให้แก้วของตัวเองละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว”
ดวงตาของเวินจิ้งเบิกกว้างมาก “คุณทำอะไร?”
ฉินซีเข้าใกล้เวินจิ้ง เหยียดนิ้วชี้ออกมาแล้วเลื่อนเบาๆบนไหล่ของเวินจิ้ง “ตอนนี้คุณ……น่าจะรู้สึกร้อนมากใช่ไหม……”
เวินจิ้งไม่ใช่คนโง่เช่นกัน เธอนิ่งไปสักครู่แล้วตั้งสติได้ มองไปที่ฉินซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณวางยาฉัน?”
ฉินซีไม่ได้ตอบคำถามนี้ต่อหน้า เพียงแค่ยืนตัวตรง ยกข้อมือขึ้นดูเวลา แล้วพูดเบาๆว่า “คุณยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่สามารถยังมีสติได้…… ถ้าฉันเป็นคุณ จะไม่เสียเวลากับปัญหาแบบนี้ที่นี่ แต่……..จะรีบหาคนมาแก้ปัญหาที่อยู่ข้างหน้าทันที มิฉะนั้นถ้ารอยาออกฤทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีโอกาสเลือกแล้ว”
เวินจิ้งฟังเธอพูดจนขนลุก เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือจับคอเสื้อของตัวเองไว้ เธอจ้องไปที่ฉินซีมองตาปริบๆ ในน้ำเสียงที่มีเสน่ห์เริ่มควบคุมไม่ได้ “ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้…….กับฉัน?”
ทั้งๆที่เป็นการถามที่กำลังโกรธอยู่ แต่น้ำเสียงไม่มีพลังเลย ฉินซีสามารถเห็นความปรารถนาที่อับชื้นในดวงตาของเธอได้อย่างชัดเจน
เวลามีไม่มากแล้ว เธอไม่สามารถเสียเวลาที่นี่ต่อไปได้
มิฉะนั้น……อาจไม่บรรลุเป้าหมายของพวกเขาได้
ฉินซีเม้มปากไม่รอช้า เดินไปที่หน้าต่างของห้องน้ำไม่กี่ก้าว เปิดหน้าต่างให้มีช่องที่สามารถเบียดออกไปได้ หันมามองเวินจิ้งที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและยิ้ม “ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไปหา……..”
เธอไม่ได้พูดชื่อออกมา แค่ยืนอยู่ที่เดิมแล้วทำรูปปาก
แต่ทั้งสองคนรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
หลังจากที่ฉินซีพูดจบ ไม่ได้รอเวินจิ้งตอบสนองปฏิกิริยาใดๆ ก็เปิดหน้าต่างเดินออกไปแล้ว
การเคลื่อนไหวของเวินจิ้งช้าลงเพราะฤทธิ์ยา เมื่อเธอเข้าใจเจตนาของฉินซีและตั้งใจจะเอื้อมมือไปดึงเธอไว้ แต่ก็สายไปแล้ว แม้แต่มุมเสื้อของเธอก็ยังคว้าไว้ไม่ทัน คว้าได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า
เวินจิ้งยืนอยู่ข้างหน้าต่างและพึมพำ “…..จะไปหาเขาหรอ…..”
แต่ไม่มีใครสามารถตอบเธอได้แล้ว
…….
ฉินซีออกมาจากหน้าต่าง และเดินตามเส้นทางประตูหลังตามที่โจวเอ้อบอกไว้ล่วงหน้า แล้วกลับไปที่ห้อง
ลู่เซิ่นนั่งอยู่ในห้อง ถ้ามองที่สีหน้าดูเหมือนว่าเขาจะสงบมาก แต่ฉินซีสามารถสัมผัสความตึงเครียดของเขาได้จากการจับมือเขา
เธอมีรอยยิ้มบนใบหน้า เดินไปข้างกายเซิ่นอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือออกไปและจับมือเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันก็กลับมาในสภาพปกติแล้วนี่ไง”
ลู่เซิ่นมองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า มั่นใจว่าเธอปลอดภัย จึงได้โล่งอก และถามไปว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
ฉินซียิ้มอย่างผ่อนคลาย “ง่ายกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ……..”
อันที่จริง ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเธอม ส่วนมากก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ผู้หญิงอย่างถังย่าก็ไม่เอ่ยถึงแล้ว แม้ก่อนหน้านี้ตัวเธอเองจะลืมเพื่อนที่ดีที่สุดอานหยัน เมื่อตอนที่ใช้ชีวิตในองค์กรด้วยกัน แต่ก็มีภูมิหลังที่ซับซ้อน
ดังนั้นก่อนที่จะไปวางยาเวินจิ้ง ฉินซีก็มีการวางแผนหลายวิธีในใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เวินจิ้งระวังตัวมากเกินไป จนตัวเองไม่สามารถลงมือได้ หรือถูกจับได้
แต่เวินจิ้งเป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่มีทักษะที่ได้รับการฝึกฝน และไม่มีความระมัดระวังมากเกินไป แม้แต่การป้องกันขั้นพื้นฐานก็ยังไม่มี ปล่อยให้เธอลงมือได้อย่างง่ายดาย และถึงกับรู้สึกว่ามันง่ายเกินไปจนไม่น่าเชื่อ
มันก็แค่… พวกเขาเพิ่งเสร็จสิ้นแผนส่วนแรกเท่านั้น ต่อมาถึงจะเป็นส่วนที่สำคัญมาก
ถ้าเวินจิ้งไม่ไปหามู่วี่สิง เช่นนั้นความเหนื่อยของพวกเขาในตอนนี้ก็ถือว่าเปล่าประโยชน์
ฉินซีอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับขั้นตอนการวางยาเวินจิ้ง โชคดีที่กระบวนการนี้ง่ายมาก ไม่ซับซ้อน ต้องใช้เวลานานในการอธิบาย จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดซอฟต์แวร์อันหนึ่ง “ดูซิว่าเธอ…….ไปหามู่วี่สิงแล้วหรือยัง”
แน่นอนว่าเมื่อครู่เธอไม่ได้ไปดูเวินจิ้งอย่างไร้จุดหมาย แต่ใช้โอกาสติดเครื่องติดตามขนาดเล็กบนร่างกายของเธอซึ่งพอๆกับที่องค์กรใส่ไว้ในร่างกายของพวกเขา มีการยึดเกาะที่แข็งแกร่งและมีขนาดเล็ก แทบจะมองไม่เห็น แต่ไม่เพียงทำได้แค่การติดตามตำแหน่งยังสามารถบันทึกเสียงได้ด้วย
ฉินซีสามารถดูตำแหน่งของเครื่องติดตามตัวได้จากโทรศัพท์มือถือ และยังสามารถได้ยินสถานการณ์ที่ส่งมาจากเครื่องดักฟังอีกด้วย
เครื่องดักฟังมีประสิทธิภาพดีมาก แม้แต่เสียงหอบของเวินจิ้งได้ยินอย่างชัดเจน
และตำแหน่งของเธอ……กำลังเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
“มู่วี่สิง……มู่วี่สิง……” เสียงกระซิบแผ่วเบาของเวินจิ้งผ่านเข้ามาในโทรศัพท์ และสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบสงบ แม้ว่าจะแค่คำธรรมดาไม่กี่คำ ก็สามารถทำให้คนอื่นอิจฉาและหัวใจเต้นแรงได้
และเสียงของอีกฝ่ายก็ส่งเข้ามาอย่างชัดเจน
“ฉันอยู่”
ตอนที่เสียงของคนคนนั้นส่งเข้ามา ฉินซีกับลู่เซิ่นมองหน้ากัน แล้วก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก
—— นี่เป็นเสียงของมู่วี่สิง
ในเมื่อเวินจิ้งอยู่กับมู่วี่สิงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปแล้ว ฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง คลิกสองสามครั้ง และเปิดการบันทึกจากที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในซอฟต์แวร์
เธอสงสัยเล็กน้อยว่ามู่วี่สิงมาได้อย่างไร
ลู่เซิ่นก็ไม่ได้ขัดขวางเธอเช่นกัน และทั้งสองคนก็เอาหัวแตะกัน และเปิดคลิปบันทึกเสียง
เมื่อดูจากเวลาแล้ว หลังจากที่ฉินซีจากไป เวินจิ้งเหมือนกำลังลังเล หลังจากเงียบไปสองสามนาที ก็มีการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน
—— เธอก็พอจะรู้สึกตัวว่าสถานะของเธอเริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ลังเลอีกต่อไป และโทรหามู่วี่สิงโดยตรง และอธิบายสถานการณ์ของเธออย่างคลุมเครือ
ไม่ได้ยินที่มู่วี่สิงพูดในเครื่องดักฟัง แต่ผ่านไปไม่กี่นาที เสียงของมู่วี่สิงก็ดังขึ้นจากเครื่องดักฟัง
ลู่เซิ่นและ ฉินซีชำเลืองมองกันและกัน และทั้งคู่ก็เห็นความคิดของกันและกันจากสายตาของกันและกัน
หากไม่รวมเรื่องบังเอิญที่มู่วี่สิงอยู่ใกล้ ๆแถวนี้พอดี เขามาถึงเร็วมาก สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ………เขาตามเวินจิ้งมาตั้งแต่แรกแล้ว
มิฉะนั้นเขาจะมาหาเวินจิ้งภายในไม่กี่นาทีได้อย่างไร และจะหาตำแหน่งที่อยู่ของเวินจิ้งได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร
ร่องรอยของความกังวลปรากฏขึ้นในดวงตาของลู่เซิ่น ในเมื่อมู่วี่สิงติดตามเวินจิ้งมาโดยตลอด เช่นนั้นอีกไม่นานเขาก็น่าจะรู้ว่านี่เป็นฝีมือของฉินซี
ครั้งที่แล้วเขาเข้าใจผิดว่าตัวเองกำลังนอกใจฉินซี เดิมทีก็มีอคติต่อฉินซีอยู่แล้ว คราวนี้……เขาจะมีอคติที่กับฉินซีมากขึ้นไหม?
แต่ลู่เซิ่นไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมา แค่วางแผนอย่างเงียบๆในใจ และเมื่อถึงเวลานั้นจะวิธีอธิบายกับมู่วี่สิงอย่างไร จึงจะสามารถเอาฉินซีออกจากเรื่องนี้ไปได้
หลังจากชี้แจงเหตุผลก่อนหน้านี้แล้ว ฉินซีก็ขยับนิ้วเปลี่ยนกลับไปดักฟังติดตามสถานการณ์เหมือนเดิม
แต่เมื่อกลับไป ก็มีเสียงครวญครางดังมาจากโทรศัพท์
ฉินซีหน้าแดง และโทรศัพท์เกือบตกลงมาจากมือ