ความปิติยินดีที่อยู่บนใบหน้าของฉินซีกำลังคลุกเคล้าเข้าด้วยกันกับความเจ็บปวดรวดร้าว
ในเมื่อลู่เซิ่นคิดแบบนี้ แล้วทำไมเธอจะไม่คิดแบบเดียวกันล่ะ
เธอจินตนาการว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวในโลกที่ไม่มีลู่เซิ่นไม่ออกเลย นี่คือความมุ่งมั่นของตัวเธอเอง เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่า ลู่เซิ่นก็มีความคิดแบบเดียวกัน
เธอก้าวเดินสองก้าวไปในทิศทางที่ลู่เซิ่นอยู่ทันที และพุดว่า “ลู่เซิ่น……”
ลู่เซิ่นก็หันหน้ามามองดูเธอเช่นกัน ถ้อยคำรักนับพันนับหมื่นคำที่ไม่ได้เอ่ยออกไป ล้วนถูกจารึกเอาไว้ในดวงตาของเขาทั้งหมด
แต่การจ้องมองกันและกันด้วยความรักใคร่ของทั้งสองคนกลับเสียดแทงหัวใจของจ้านเซินอย่างรุนแรง
พวกเขาทั้งสองคนฉันกับคุณอยู่ตรงนี้ แล้วฉันเป็นอะไร?
เป็นคนเลวที่คอยขัดขวางพวกเขาใช่ไหม?
ความโกรธแค้นและความอิจฉาริษยาได้แว็บผ่านเข้ามาในใจของจ้านเซิน จนเกือบจะควบคุมไม่ได้ เขาก็เลยดึงมีดเล่นนั้นเข้าไปอีกครั้ง
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว และมือของเขาก็สั่นเทาสักครู่หนึ่งเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
และแล้วมีดที่จี้อยู่บนคอของจ้านเซินเล่มนั้นก็คลายออกสักพักหนึ่ง
จ้านเซินเกือบจะรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาสที่เขาพลิกตัวกลับไป ดังนั้นจึงแอบข้างหลบอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ลังเลใจเลยสักนิด แล้วก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว หลบเลี่ยงมีดที่อยู่ในมือของลู่เซิน จากนั้นก็หัวเราะอย่างน่าเกลียดน่ากลัว และดึงมีดที่ติดอยู่ที่หน้าท้องของลู่เซิ่นออกมาอย่างรุนแรง ในขณะที่เลือดสดๆสาดกระเซ็นออกมา เขาก็พูดอย่างดุร้ายว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นนายก็ตายๆไปซะเถอะ!”
เขายกมือขึ้นและอยากจะฟันลงไป แต่เมื่อมีดกำลังจะฟันลงไป ทันใดนั้นก็มีแรงมวลหนึ่งจู่โจมเข้ามาจากข้างหลัง ข้อมือของเขาเจ็บ มีดก็เกือบจะจับเอาไว้ไม่อยู่ และมันก็กำลังจะตกลงไปบนพื้น
จ้านเซินรู้ด้วยสติสัมปชัญญะว่าตัวเองไม่ควรจิตใจฟุ้งซ่าน ควรโจมตีลู่เซิ่นด้วยวิธีอื่นทันที แต่เขาก็ยังคงหันหน้ากลับไปมองในทันทีด้วยจิตใต้สำนึก
แต่เขายังไม่ทันได้หันหน้ากลับไป ก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งของที่เย็นและแข็งสิ่งหนึ่งค้ำอยู่บนคอของเขา
——คาดไม่ถึงว่ามีดพกที่ฉินซีได้พกติดมือมาด้วยจะได้ใช้ประโยชน์ในเวลานี้
จ้านเซินรู้สึกไม่อยากเชื่อเลย
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงล่ำสันของเขาไม่ใช่กล้ามเนื้อที่แสร้งฝึกฝนมาให้ดูดีเท่านั้น แต่มันมีพละกำลังที่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวอยู่ด้วย แม้ว่าเขาจะกำลังโหมกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดในตอนนี้เพื่อที่จะโจมตีลู่เซิ่นให้ถึงแก่ชีวิตจนไม่ได้สนใจที่จะเตรียมป้องกันคนอื่นก็ตาม ก็ไม่ควรถูกใครเข้ามาโจมตีได้ง่ายๆแบบนี้เลย
จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องหันหน้ากลับไปมองเลยว่าคนที่โจมตีตัวเองเป็นใคร?
——คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว
ไม่ใช่ถังย่า
ไม่ใช่ลู่เซิ่น
คนสี่คนที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ มีเพียงฉินซีคนเดียวเท่านั้น
เพียงแต่จ้านเซินไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะถูกฉินซีลอบโจมตีโดยไม่คาดคิดเสียแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่นี้ฉินซีได้ใช้กำลังในการโจมตีนั้นทั้งหมดแล้ว ตอนนี้กำลังของเธอยังไม่ฟื้นกลับมาเท่าไหร่ สีหน้าของเธอแดงก่ำ แต่มือกลับกำลังจับมืออย่างมั่นคง เธอกำลังหายใจหอบอยู่แต่กลับยังคงยืนกรานที่จะพูดว่า “อย่า……แตะต้อง……ตัวเขา……”
ในขณะนี้จ้านเซินสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเองในทันทีแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเศร้ารันทดเป็นอย่างยิ่ง เขาถึงกับไม่รู้สึกโกรธแล้วเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกเพียงว่าบริเวณหน้าอกของตัวเองว่าเปล่า ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างถูกนำออกไปแล้ว
เขารู้ดีมาโดยตลอดว่า หลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป แม้ว่าฉินซีจะกลับไปอยู่ข้างกายเขา แต่ระหว่างพวกเขาก็จะไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้สึกเสียใจเลย จนถึงขั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่พอถูกฉินซีใช้มีดชี้ไปที่เขาในขณะนี้ เขาก็เกิดรู้ตัวขึ้นมาว่าตัวเขาเองยังคงประเมินตัวเองสูงเกินไป
จริงๆแล้วการที่ถูกฉินซีเกลียดชังแบบนี้ เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถยอมรับได้เลย
แต่จ้านเซินกลับไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกไปได้
เขาใช้เวลาสองวินาทีในการบังคับตัวเองให้ยอมรับความเป็นจริงนี้ หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาเหมือนกับคนที่เป็นโรคประสาท และหันหน้าไปมองฉินซี โดยที่ไม่สนใจว่ามีดที่ค้ำอยู่หลังลำคอของตัวเองจะบาดผิวหนังของตัวเองเลยสักนิด
“คุณคิดว่าทำอย่างนี้จะสามารถข่มขู่ผมได้งั้นเหรอ?” จ้านเซินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฉินซี คุณประเมินผมต่ำเกินไปแล้ว คุณเปรียบเทียบดูได้นะ ว่ามีดของคุณหรือมีดของผมเล่มไหนจะเร็วกว่ากัน เลวร้ายที่สุดผมกับลู่เซิ่นก็ตายไปพร้อมๆกัน มีศพของประธานลู่ฝังอยู่ข้างๆผม ผมก็ไม่เสียใจแล้ว”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ต่างก็หยุดชะงักการกระทำของตัวเองลง
และถังย่าก็เงยหน้าขึ้นมาทันที
ภายในดวงตาของจ้านเซินมีความบ้าคลั่งที่เข้มข้นเป็นอย่างมาก ในขณะที่ถังย่ากำลังมองดูอยู่ ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกที่คุ้นเคย
ดูเหมือนว่า… ในช่วงเวลาที่หาฉินซีไม่พบนั้น ท่าทางของจ้านเซินก็เป็นแบบนี้
แล้วสัญญาณเตือนที่อยู่ในหัวใจของถังย่าก็ดังขึ้นมาทันที
——ไม่ได้การ จ้านเซินกำลังจะคล้มคลั่งอีกแล้ว
แต่ทว่าเธอยังไม่ทันได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดทุกสิ่งทุกอย่าง อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
จ้านเซินไม่ได้คิดจะหลงเหลือโอกาสที่จะหยุดเขาให้กับคนอื่นเลย ดูเหมือนเขาจะมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปลิดชีวิตลู่เซิ่น ต่อให้เขาจะปลิดชีพของตัวเองไปด้วย เขาก็ไม่รู้สึกเสียดาย ดังนั้นยังไม่สิ้นเสียงพูด เขาก็กำมีดแน่น แล้วโบกมือฟันไปบนร่างกายของลู่เซิ่นต่อ
โชคดีที่ฉินซีซื้อเวลาให้ลู่เซิ่นได้ตอบโต้กลับไปบ้างแล้ว เพียงแต่เขายังถูกคนอื่นควบคุมอยู่ ดังนั้นจึงสามารถเลยหลบหลีกได้เพียงเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นจับคมมีดที่จ้านเซินเหวี่ยงลงมา ป้องกันไม่ให้มีดตกลงไปอีก
ใบมีดที่คมกริบถูกฝ่ามือของลู่เซิ่นจับเอาไว้อย่างแน่นหนา และเลือดสดๆก็ไหลลงมาตามมีดแทบจะในทันที
ดวงตาของฉินซีแดงขึ้นมาแล้ว
ท่าทางของลู่เซิ่นในตอนนี้ค่อนข้างน่ากลัวมากในสายตาของผู้อื่น บนใบหน้ามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย เสื้อผ้าบริเวณหน้าท้องและแขนก็เปื้อนเลือดเป็นจำนวนมาก ทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนคนที่คลานออกมาจากนรกอย่างไรอย่างนั้น
กลิ่นเลือดบนตัวแรงมากเกินไป มันแรงจนเหมือนกับนกที่หยุดอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆถึงกับทนไม่ไหว จนต้องกางปีกแล้วบินหนีไป
แต่เมื่อฉินซีได้เห็นสีหน้าที่ขาวซีดผิดปกติและริมฝีปากที่เกือบจะไม่มีเลือดของเขาเต็มๆตา
เธอรู้สึกได้เพียงว่ามีดที่ทำร้ายร่างกายลู่เซิ่นก็ได้ทิ่มแทงลงมาบนหัวใจของเธอเช่นกัน ทำให้หัวใจของเธอแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
ทำไมถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้นะ?
เพียงแต่ความมุ่งมาดปรารถนาที่อยากจะอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายนี้ ทำไมทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ล่ะ?
ฉินซีร้องคำรามคำถามมากมายอยู่ในใจ จนแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้กับจ้านเซินในตอนนี้เลย ตายไปพร้อมๆกันเลยก็ดี สุท้ายแล้วมันก็ยังดีกว่าการทรมานที่ไม่สิ้นสุดเช่นนี้
แต่บางทีความเจ็บปวดเช่นนี้อาจจะเกินขอบเขตความอดทนของฉินซีแล้ว ราวกับว่าความเจ็บปวดนั้นมาถึงขีดสุดจนรู้สึกชาไปแล้ว หลังจากที่อารมณ์หุนหันพลันแล่นในตอนแรกเริ่มได้ผ่านพ้นไป เธอก็สงบสติอารมณ์ลงมาในทันที
ตอนที่จ้านเซินโจมตีลู่เซิ่นเมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้สนใจมีดที่ฉินซีเอามาจี้อยู่บนคอของเขาเลย เหมือนกับแล้วแต่ว่าเธอจะลงมือหรือไม่ก็ได้ทั้งนั้น ดังนั้นตอนนี้มีดของฉินซีจึงยังอยู่ข้างๆลำคอของเขา
และฉินซีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป จึงได้เพิ่มกำลังที่อยู่ในมือให้มากขึ้นอีกสองสามส่วน
ทำให้บนลำคอของจ้านเซินจึงมีบาดแผลขนาดใหญ่หนึ่งแผลเพิ่มขึ้นมาในทันที
ทันใดนั้นความเจ็บปวดที่กระจายเข้ามาก็ทำให้การกระทำต่างๆของจ้านเซินหยุดชะงักลงไปชั่วขณะ แต่เขาได้เรียนรู้บทเรียนในครั้งนี้แล้ว จึงไม่หันกลับไปมองอีก แต่กลับหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ลงมือเถอะ ฉินซี ได้ตายด้วยมือคุณ และได้ถือโอกาสพาคนรักของคุณไปด้วย ผมก็ไม่เสียใจแล้ว”
เขาไม่ได้มีความคิดที่จะรอฟังคำตอบของฉินซีเลย แต่ฉินซีกลับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับบรรยากาศตึงเครียดนี้ในปัจจุบันแต่อย่างใด แต่ทันใดนั้นเธอก็อยากจะเอ่ยปากถามเหมือนกับกำลังคุยกันถึงเรื่องมโนสาเร่ว่า “ฉันไม่เคยบอกกับคุณเหรอ ว่าก่อนที่แม่ของคุณจะกระโดดตึก เธอเคยพูดกับฉันว่าอะไร?”
ในครั้งนี้จ้านเซินแข็งทื่อไปทั้งตัวเล็กน้อย และในที่สุดเขาก็หันหน้าไปมองฉินซี แต่สีหน้าบนใบหน้าของเขากลับเย็นชาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“คุณอยากจะพูดอะไร?” จ้านเซินพูดเสียงแข็งราวกับถูกเกล็ดน้ำแข็งเกาะอย่างไรอย่างนั้น