Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – บทที่ 1575 การจู่โจมครั้งสุดท้าย

บทที่ 1575 การจู่โจมครั้งสุดท้าย

ความปิติยินดีที่อยู่บนใบหน้าของฉินซีกำลังคลุกเคล้าเข้าด้วยกันกับความเจ็บปวดรวดร้าว

ในเมื่อลู่เซิ่นคิดแบบนี้ แล้วทำไมเธอจะไม่คิดแบบเดียวกันล่ะ

เธอจินตนาการว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวในโลกที่ไม่มีลู่เซิ่นไม่ออกเลย นี่คือความมุ่งมั่นของตัวเธอเอง เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่า ลู่เซิ่นก็มีความคิดแบบเดียวกัน

เธอก้าวเดินสองก้าวไปในทิศทางที่ลู่เซิ่นอยู่ทันที และพุดว่า “ลู่เซิ่น……”

ลู่เซิ่นก็หันหน้ามามองดูเธอเช่นกัน ถ้อยคำรักนับพันนับหมื่นคำที่ไม่ได้เอ่ยออกไป ล้วนถูกจารึกเอาไว้ในดวงตาของเขาทั้งหมด

แต่การจ้องมองกันและกันด้วยความรักใคร่ของทั้งสองคนกลับเสียดแทงหัวใจของจ้านเซินอย่างรุนแรง

พวกเขาทั้งสองคนฉันกับคุณอยู่ตรงนี้ แล้วฉันเป็นอะไร?

เป็นคนเลวที่คอยขัดขวางพวกเขาใช่ไหม?

ความโกรธแค้นและความอิจฉาริษยาได้แว็บผ่านเข้ามาในใจของจ้านเซิน จนเกือบจะควบคุมไม่ได้ เขาก็เลยดึงมีดเล่นนั้นเข้าไปอีกครั้ง

ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว และมือของเขาก็สั่นเทาสักครู่หนึ่งเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

และแล้วมีดที่จี้อยู่บนคอของจ้านเซินเล่มนั้นก็คลายออกสักพักหนึ่ง

จ้านเซินเกือบจะรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาสที่เขาพลิกตัวกลับไป ดังนั้นจึงแอบข้างหลบอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ลังเลใจเลยสักนิด แล้วก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว หลบเลี่ยงมีดที่อยู่ในมือของลู่เซิน จากนั้นก็หัวเราะอย่างน่าเกลียดน่ากลัว และดึงมีดที่ติดอยู่ที่หน้าท้องของลู่เซิ่นออกมาอย่างรุนแรง ในขณะที่เลือดสดๆสาดกระเซ็นออกมา เขาก็พูดอย่างดุร้ายว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นนายก็ตายๆไปซะเถอะ!”

เขายกมือขึ้นและอยากจะฟันลงไป แต่เมื่อมีดกำลังจะฟันลงไป ทันใดนั้นก็มีแรงมวลหนึ่งจู่โจมเข้ามาจากข้างหลัง ข้อมือของเขาเจ็บ มีดก็เกือบจะจับเอาไว้ไม่อยู่ และมันก็กำลังจะตกลงไปบนพื้น

จ้านเซินรู้ด้วยสติสัมปชัญญะว่าตัวเองไม่ควรจิตใจฟุ้งซ่าน ควรโจมตีลู่เซิ่นด้วยวิธีอื่นทันที แต่เขาก็ยังคงหันหน้ากลับไปมองในทันทีด้วยจิตใต้สำนึก

แต่เขายังไม่ทันได้หันหน้ากลับไป ก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งของที่เย็นและแข็งสิ่งหนึ่งค้ำอยู่บนคอของเขา

——คาดไม่ถึงว่ามีดพกที่ฉินซีได้พกติดมือมาด้วยจะได้ใช้ประโยชน์ในเวลานี้

จ้านเซินรู้สึกไม่อยากเชื่อเลย

กล้ามเนื้อที่แข็งแรงล่ำสันของเขาไม่ใช่กล้ามเนื้อที่แสร้งฝึกฝนมาให้ดูดีเท่านั้น แต่มันมีพละกำลังที่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวอยู่ด้วย แม้ว่าเขาจะกำลังโหมกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดในตอนนี้เพื่อที่จะโจมตีลู่เซิ่นให้ถึงแก่ชีวิตจนไม่ได้สนใจที่จะเตรียมป้องกันคนอื่นก็ตาม ก็ไม่ควรถูกใครเข้ามาโจมตีได้ง่ายๆแบบนี้เลย

จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องหันหน้ากลับไปมองเลยว่าคนที่โจมตีตัวเองเป็นใคร?

——คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว

ไม่ใช่ถังย่า

ไม่ใช่ลู่เซิ่น

คนสี่คนที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ มีเพียงฉินซีคนเดียวเท่านั้น

เพียงแต่จ้านเซินไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะถูกฉินซีลอบโจมตีโดยไม่คาดคิดเสียแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่นี้ฉินซีได้ใช้กำลังในการโจมตีนั้นทั้งหมดแล้ว ตอนนี้กำลังของเธอยังไม่ฟื้นกลับมาเท่าไหร่ สีหน้าของเธอแดงก่ำ แต่มือกลับกำลังจับมืออย่างมั่นคง เธอกำลังหายใจหอบอยู่แต่กลับยังคงยืนกรานที่จะพูดว่า “อย่า……แตะต้อง……ตัวเขา……”

ในขณะนี้จ้านเซินสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเองในทันทีแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเศร้ารันทดเป็นอย่างยิ่ง เขาถึงกับไม่รู้สึกโกรธแล้วเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกเพียงว่าบริเวณหน้าอกของตัวเองว่าเปล่า ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างถูกนำออกไปแล้ว

เขารู้ดีมาโดยตลอดว่า หลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป แม้ว่าฉินซีจะกลับไปอยู่ข้างกายเขา แต่ระหว่างพวกเขาก็จะไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้สึกเสียใจเลย จนถึงขั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่พอถูกฉินซีใช้มีดชี้ไปที่เขาในขณะนี้ เขาก็เกิดรู้ตัวขึ้นมาว่าตัวเขาเองยังคงประเมินตัวเองสูงเกินไป

จริงๆแล้วการที่ถูกฉินซีเกลียดชังแบบนี้ เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถยอมรับได้เลย

แต่จ้านเซินกลับไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกไปได้

เขาใช้เวลาสองวินาทีในการบังคับตัวเองให้ยอมรับความเป็นจริงนี้ หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาเหมือนกับคนที่เป็นโรคประสาท และหันหน้าไปมองฉินซี โดยที่ไม่สนใจว่ามีดที่ค้ำอยู่หลังลำคอของตัวเองจะบาดผิวหนังของตัวเองเลยสักนิด

“คุณคิดว่าทำอย่างนี้จะสามารถข่มขู่ผมได้งั้นเหรอ?” จ้านเซินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฉินซี คุณประเมินผมต่ำเกินไปแล้ว คุณเปรียบเทียบดูได้นะ ว่ามีดของคุณหรือมีดของผมเล่มไหนจะเร็วกว่ากัน เลวร้ายที่สุดผมกับลู่เซิ่นก็ตายไปพร้อมๆกัน มีศพของประธานลู่ฝังอยู่ข้างๆผม ผมก็ไม่เสียใจแล้ว”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ต่างก็หยุดชะงักการกระทำของตัวเองลง

และถังย่าก็เงยหน้าขึ้นมาทันที

ภายในดวงตาของจ้านเซินมีความบ้าคลั่งที่เข้มข้นเป็นอย่างมาก ในขณะที่ถังย่ากำลังมองดูอยู่ ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกที่คุ้นเคย

ดูเหมือนว่า… ในช่วงเวลาที่หาฉินซีไม่พบนั้น ท่าทางของจ้านเซินก็เป็นแบบนี้

แล้วสัญญาณเตือนที่อยู่ในหัวใจของถังย่าก็ดังขึ้นมาทันที

——ไม่ได้การ จ้านเซินกำลังจะคล้มคลั่งอีกแล้ว

แต่ทว่าเธอยังไม่ทันได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดทุกสิ่งทุกอย่าง อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

จ้านเซินไม่ได้คิดจะหลงเหลือโอกาสที่จะหยุดเขาให้กับคนอื่นเลย ดูเหมือนเขาจะมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปลิดชีวิตลู่เซิ่น ต่อให้เขาจะปลิดชีพของตัวเองไปด้วย เขาก็ไม่รู้สึกเสียดาย ดังนั้นยังไม่สิ้นเสียงพูด เขาก็กำมีดแน่น แล้วโบกมือฟันไปบนร่างกายของลู่เซิ่นต่อ

โชคดีที่ฉินซีซื้อเวลาให้ลู่เซิ่นได้ตอบโต้กลับไปบ้างแล้ว เพียงแต่เขายังถูกคนอื่นควบคุมอยู่ ดังนั้นจึงสามารถเลยหลบหลีกได้เพียงเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นจับคมมีดที่จ้านเซินเหวี่ยงลงมา ป้องกันไม่ให้มีดตกลงไปอีก

ใบมีดที่คมกริบถูกฝ่ามือของลู่เซิ่นจับเอาไว้อย่างแน่นหนา และเลือดสดๆก็ไหลลงมาตามมีดแทบจะในทันที

ดวงตาของฉินซีแดงขึ้นมาแล้ว

ท่าทางของลู่เซิ่นในตอนนี้ค่อนข้างน่ากลัวมากในสายตาของผู้อื่น บนใบหน้ามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย เสื้อผ้าบริเวณหน้าท้องและแขนก็เปื้อนเลือดเป็นจำนวนมาก ทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนคนที่คลานออกมาจากนรกอย่างไรอย่างนั้น

กลิ่นเลือดบนตัวแรงมากเกินไป มันแรงจนเหมือนกับนกที่หยุดอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆถึงกับทนไม่ไหว จนต้องกางปีกแล้วบินหนีไป

แต่เมื่อฉินซีได้เห็นสีหน้าที่ขาวซีดผิดปกติและริมฝีปากที่เกือบจะไม่มีเลือดของเขาเต็มๆตา

เธอรู้สึกได้เพียงว่ามีดที่ทำร้ายร่างกายลู่เซิ่นก็ได้ทิ่มแทงลงมาบนหัวใจของเธอเช่นกัน ทำให้หัวใจของเธอแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ทำไมถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้นะ?

เพียงแต่ความมุ่งมาดปรารถนาที่อยากจะอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายนี้ ทำไมทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ล่ะ?

ฉินซีร้องคำรามคำถามมากมายอยู่ในใจ จนแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้กับจ้านเซินในตอนนี้เลย ตายไปพร้อมๆกันเลยก็ดี สุท้ายแล้วมันก็ยังดีกว่าการทรมานที่ไม่สิ้นสุดเช่นนี้

แต่บางทีความเจ็บปวดเช่นนี้อาจจะเกินขอบเขตความอดทนของฉินซีแล้ว ราวกับว่าความเจ็บปวดนั้นมาถึงขีดสุดจนรู้สึกชาไปแล้ว หลังจากที่อารมณ์หุนหันพลันแล่นในตอนแรกเริ่มได้ผ่านพ้นไป เธอก็สงบสติอารมณ์ลงมาในทันที

ตอนที่จ้านเซินโจมตีลู่เซิ่นเมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้สนใจมีดที่ฉินซีเอามาจี้อยู่บนคอของเขาเลย เหมือนกับแล้วแต่ว่าเธอจะลงมือหรือไม่ก็ได้ทั้งนั้น ดังนั้นตอนนี้มีดของฉินซีจึงยังอยู่ข้างๆลำคอของเขา

และฉินซีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป จึงได้เพิ่มกำลังที่อยู่ในมือให้มากขึ้นอีกสองสามส่วน

ทำให้บนลำคอของจ้านเซินจึงมีบาดแผลขนาดใหญ่หนึ่งแผลเพิ่มขึ้นมาในทันที

ทันใดนั้นความเจ็บปวดที่กระจายเข้ามาก็ทำให้การกระทำต่างๆของจ้านเซินหยุดชะงักลงไปชั่วขณะ แต่เขาได้เรียนรู้บทเรียนในครั้งนี้แล้ว จึงไม่หันกลับไปมองอีก แต่กลับหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ลงมือเถอะ ฉินซี ได้ตายด้วยมือคุณ และได้ถือโอกาสพาคนรักของคุณไปด้วย ผมก็ไม่เสียใจแล้ว”

เขาไม่ได้มีความคิดที่จะรอฟังคำตอบของฉินซีเลย แต่ฉินซีกลับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับบรรยากาศตึงเครียดนี้ในปัจจุบันแต่อย่างใด แต่ทันใดนั้นเธอก็อยากจะเอ่ยปากถามเหมือนกับกำลังคุยกันถึงเรื่องมโนสาเร่ว่า “ฉันไม่เคยบอกกับคุณเหรอ ว่าก่อนที่แม่ของคุณจะกระโดดตึก เธอเคยพูดกับฉันว่าอะไร?”

ในครั้งนี้จ้านเซินแข็งทื่อไปทั้งตัวเล็กน้อย และในที่สุดเขาก็หันหน้าไปมองฉินซี แต่สีหน้าบนใบหน้าของเขากลับเย็นชาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“คุณอยากจะพูดอะไร?” จ้านเซินพูดเสียงแข็งราวกับถูกเกล็ดน้ำแข็งเกาะอย่างไรอย่างนั้น

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท