Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – บทที่ 1576 ไดอารี่

บทที่ 1576 ไดอารี่

เรื่องของจ้านเซินเป็นเรื่องที่ห้ามพูดกันเรื่องหนึ่งในองค์กรมาแต่ไหนแต่ไร

ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่านี่คือข้อพิสูจน์ที่ว่าพ่อของลู่เซิ่นได้เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ขององค์กรและมีความสัมพันธ์กับสมาชิกในองค์กรอย่างโจ่งแจ้ง และยังเป็นเพราะว่า……เธอได้จากไปอย่างน่าเศร้าเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าเดิมทีคนที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ของจ้านเซินมีไม่มาก สิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ก็คือเธอเป็นสมาชิกขององค์กรที่กระโดดตึกเสียชีวิตคนนั้นเมื่อหลายปีก่อน

จ้านเซินไม่เคยเอ่ยถึงและก็ไม่เคยถามมาก่อนเช่นกัน จนทำให้ข้อเท็จจริงในการเสียชีวิตของเธอถึงกับถูกบิดเบือนไปแล้ว และถือเป็นตำราเรียนที่เสื่อมทรามที่มีอยู่ในหลักสูตรล้างสมองเหล่านั้นขององค์กร แล้วถูกนำออกมาสอนครั้งแล้วครั้งเล่า “ผู้หญิงคนนี้ได้ตกหลุมรักเป้าหมายในภารกิจเข้า หลังจากที่ภารกิจสำเร็จเธอก็รู้สึกเสียใจและสำนึกผิด ดังนั้นเธอจึงคิดไม่ตกแล้วกระโดดตึกลงไป”

คนที่รู้จะไม่พูดถึง แล้วก็ไม่กล้าพูดถึงด้วย ดังนั้นนี่จึงเกือบจะเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดถึงเธออย่างเปิดเผยหลังจากที่แม่ของเขาได้จากไปแล้ว

แต่หลายปีมานี้ ฉินซีก็เป็นคนที่พูดคำว่า “แม่ของคุณ”มาอ้างอิงในตอนที่พูดถึงเธอน้อยมากเช่นกัน

ดังนั้นความประหลาดใจบนใบหน้าของจ้านเซินจึงผสมปนเปไปด้วยความโกรธ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นไปตามหลักเหตุผลเช่นเดียวกัน

ในตอนนี้ฉินซีกลับมองข้ามความโกรธแค้นที่เห็นได้ชัดของจ้านเซินไปแล้วโดยสมบูรณ์ และพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบเยือกเย็นต่อไปว่า “ประโยคสุดท้ายทีเธอพูดกับฉันคือ หนีออกไปจากที่นี่ซะฉินซี”

เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกไป แม้แต่ถังย่าก็แสดงสีหน้าท่าทางที่ประหลาดใจเล็กน้อยออกมา

ฉินซียังคงพูดต่อไปท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นยะเยือกรอบๆตัวว่า “ฉันไม่เคยบอกรายละเอียดการจากไปของเธอให้คุณฟัง เพราะตอนนั้นคุณเองก็เศร้าเสียใจอยู่ และฉันไม่อยากเปิดเผยรอยแผลเป็นของคุณอีกครั้ง แต่ถึงตอนนี้แล้ว ต่อให้พูดเรื่องเหล่านี้ออกมาดูเหมือนว่าคงจะไม่เป็นไรแล้ว”

ฉินซีพูดคำนี้อย่างสงบจิตสงบใจ แต่กลับมีการเยาะเย้ยถากถางแฝงอยู่ด้วย

อะไรที่เรียกว่าตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้ว? ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรู้สึกว่าจ้านเซินลืมการตายของแม่ของเขาไปหมดสิ้นแล้ว

มือของจ้านเซินบีบด้ามมีดแน่นโดยไม่รู้ตัว

ฉินซียกเปลือกตาขึ้นและเหลือบมองจ้านเซิน ในสายตาก็เต็มไปด้วยความเฉยเมย “เธอบอกกับฉันเรื่องอดีตของเธอกับพ่อของคุณแล้ว ถือเกิดของคุณเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ เธอเตือนว่าอย่าเป็นเหมือนเธอเด็ดขาด พอถึงตอนที่ไม่มีหนทางถอนตัวออกมาได้มันจะเสียใจภายหลัง”

แล้วบนใบหน้าไร้อารมณ์มาแต่ไหนแต่ไรของจ้านเซินก็มีความเจ็บปวดรวดร้าวที่ชัดเจนแว็บผ่านขึ้นมา

นับตั้งแต่ในขณะนั้นที่เขาเกิดมา เขาก็ถูกปลูกฝังให้เป็นทายาทขององค์กร และได้รับการฝึกฝนที่เข้มงวดทารุณที่สุดมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายของเขาดื้อต่อยาที่พบเห็นได้ทั่วไปหลายชนิด เขามีความสามารถในการรักษาตัวเองที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บก็เลยไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่รุนแรงอะไรมาก

พูดไม่ได้ว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแรงแน่นหนาเหมือนกับกำแพงเหล็ก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นร่างกายที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กอยู่ครึ่งหนึ่งแล้ว

แต่ในเวลานี้คำพูดที่เรียบง่ายของฉินซีกลับเป็นเหมือนกับลูกกระสุนที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งเจาะทะลุหัวใจของเขาอย่างโหดเหี้ยม

ไม่มีใครเกิดมาแล้วจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีความรู้สึกหรอก ในความทรงจำที่เลือนรางของจ้านเซิน ตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาก็เคยอยากจะเป็นเหมือนเด็กทั่วๆไป เขารู้สึกเบื่อหน่ายที่จะอยู่เคียงข้างแม่ และเฝ้าปรารถนาอ้อมกอดที่อบอุ่น

นี่แทบจะเป็นความทรงจำอันอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในหัวใจของจ้านเซิน

แต่ตอนนี้ฉินซีกลับฉีกความอบอุ่นนี้ออกเป็นชิ้นๆด้วยคำพูดที่เรียบง่ายไม่กี่คำ

เขาเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่า แท้ที่จริงแล้วคำพูดจึงเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้ เงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง แต่กลับสามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่มีตัวตน

แล้วมือที่กำลังถือมีดอยู่ขิงจ้านเซินก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาสักครู่หนึ่ง

แต่ฉินซีกลับเพิกเฉยและมองไม่เห็นความเจ็บปวดของเขา เธอยิ้มให้ตัวเองและพูดต่อว่า “ฉันอยากจะออกไป ในตอนแรกมันไม่เกี่ยวกับลู่เซิ่นเลย เป็นเพราะตัวองค์กรเองและการตายของแม่คุณต่างหากที่กำลังบีบรัดฉันอยู่ ทำให้ฉันสุดที่จะทนแบกรับมันจนอยากจะหนีออกไป คุณไม่มีวันที่จะจินตนาการออกหรอก ในสองสามวันที่ผ่านมานั้น เพียงแค่หลับตาลง ฉันก็ได้ยินแต่คำพูดนั้นที่แม่ของคุณพูดกับฉันว่า รีบหนีไป ฉินซี แล้วต่อมาฉันก็ได้พบกับลู่เซิ่น ซึ่งเขาก็เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องออกไปจากองค์กร จ้านเซิน ที่ฉันไม่ได้อยู่กับคุณไม่ใช่เพราะว่าฉันมีลู่เซิ่น แต่เป็นเพราะฉันไม่ได้รักคุณเลย และที่ฉันไม่ยอมกลับไปที่องค์กรก็ไม่ใช่เพราะลู่เซิ่น แต่ฉันไม่สามารถอดทนกับองค์กรได้อีกต่อไปแล้ว”

จ้านเซินหลับตาลง จึงจะทำให้เสียงของตัวเองฟังดูแล้วเหมือนกับเสียงปกติและจะได้ฟังออกว่าเขามีอารมณ์แบบไหน “แต่เมื่อก่อนทุกอย่างก็ดีไปเสียทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่น จะเกิดเหตุเภทภัยมากมายขนาดนั้นได้ยังไง……”

เสียงของเขาไม่หนักแน่นขนาดนั้นเหมือนแต่ก่อนเลย ฉินซีก็ได้ออกได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นฉินซีจึงขัดจังหวะเขาอย่างไม่ลังเลด้วยการพูดคำพูดที่แทบจะเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมออกมาว่า “ตอนที่คุณตัดสินใจสะกดจิตให้ฉันลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว”

ในขณะที่ถังย่ากำลังฟังพวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันไปมาอยู่ด้านข้าง จิตใจก็รู้สึกอกสั่นขวัญหายทุกวินาทีเหมือนกับกำลังนั่งรถไฟเหาะอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ฉินซีไม่รู้สภาพจิตใจของจ้านเซินเลย แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว แรกเริ่มเดิมทีจ้านเซินก็มีความรู้สึกลุ่มหลงมัวเมาชนิดที่เรียกได้ว่าคลั่งไคล้ต่อฉินซีมากเลยทีเดียว แต่ในเวลานี้เพราะว่าได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ดวงตาของเขาจึงมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆรายละเอียดล้วนแล้วแต่กำลังสะท้อนออกมาให้เห็น และอีกประเดี๋ยวเดียวเขาก็จะถึงขอบเขตที่จะระเบิดมันออกมาแล้ว

แต่ฉินซีกลับยังคงแกว่งเท้าเข้าหาเสี้ยนด้วยการยั่วอารมณ์เขาอยู่อย่างนี้

มือของถังย่าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ หัวใจก็เลื่อนขึ้นมาอยู่ตรงลำคอ เธอเตรียมรับมือกับความบ้าคลั่งที่จ้านเซินระเบิดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา

เส้นเสือดสีเขียวที่อยู่ตรงขมับของจ้านเซินได้ระเบิดออกมาทั้งหมดแล้ว แต่สาเหตุอาจจะเป็นเพราะว่าฉินซีอยู่ตรงหน้า เขาจึงไม่ได้สูญเสียการควบคุมเหมือนในคราวก่อนเลย เพียงแต่กัดฟันแน่น แล้วบีบเค้นคำพูดสองสามประโยคออกมาจากซอกฟันว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราทุกคนจบสิ้นกันตรงนี้ก็จะไม่มีอะไรต้องเสียดาย และก็ยังถือได้ว่าเป็นการตายเพื่อบูชาความรักก็แล้วกัน”

แต่ฉินซีกลับไม่ได้ถูกเขายั่วให้โกรธ เธอเพียงแต่ส่ายหน้าไปมา แล้วพูดว่า “จ้านเซิน ลู่เซิ่นไม่พูดคุยกับคุณ แต่ฉันกลับอยากจะลองพูดคุยกับคุณดูดีดี ตอนที่แม่ของคุณแยกทางจากฉันไป เธอได้ให้ไดอารี่ของเธอเล่มหนึ่งกับฉัน และยังมีจดหมายที่เธอเขียนให้ฉันฉบับหนึ่งด้วย แน่นอนว่าฉันให้จดหมายคุณไม่ได้อยู่แล้ว แต่กลับไม่ได้บอกไว้ว่าฉันจะมอบไดอารี่ให้คุณไม่ได้ ถ้าคุณปล่อยพวกเราไป ฉันจะให้ไดอารี่กับคุณ”

จ้านเซินตกตะลึงไปหนึ่งวินาที

เธอ…คิดไม่ถึงเลยว่าเธอเก็บไดอารี่เอาไว้ กลับไม่ได้มอบให้ตัวเอง แต่เอาไปมอบให้ฉินซี

จะเห็นได้ว่าฉินซีไม่ได้พูดผิดจริงๆ แม่……ถือว่าเขาคือความผิดพลาดจริงๆ จนถึงท้ายที่สุด เธอก็ขอมอบของให้กับคนอื่นดีกว่า เขียนจดหมายถึงคนอื่นหนึ่งฉบับ แล้วก็ไม่ได้ทิ้งคำพูดเล็กๆน้อยๆให้กับตัวเองเลยสักคำ

ฉินซีก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ความจริงเวลาผ่านไปแล้วหลายปี ฉากการตายของแม่ของเขาก็ค่อยๆลืมเลือนไปจากภายในหัวใจของจ้านเซินแล้ว แต่การจากไปอย่างกะทันหันของแม่ของเขายังคงประทับอยู่ภายในหัวใจที่แทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรแล้วของจ้านเซิน

แม่ทิ้งของไว้ในองค์กรน้อยมาก เสื้อผ้าและของใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ใช้ตามมาตรฐานขององค์กร แทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยของความเป็นส่วนตัวใดๆเลย

ดังนั้นหลังจากที่ศพของเธอถูกเผา จ้านเซินจึงแทบจะไม่พบหลักฐานใดๆที่จะมายืนยันเลยว่าเธอเคยมีอยู่ นอกจากเถ้ากระดูกแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดใดที่จะสามารถไว้อาลัยถึงเธอได้เลย

ทันใดนั้นไดอารี่ก็ตกลงมาจากท้องฟ้า ถ้าจะพูดว่าไม่ใจสั่นเลยก็คงจะไม่ได้

แต่ว่า……ในเมื่อฉินซีคิดว่านี่คือการเจรจาพูดคุย เช่นนั้นจ้านเซินก็จะต้องทำจิตใจให้ฮึกเหิมและปฏิบัติตนอย่างเอาจริงเอาจังเช่นกัน

เขากำลังบังคับตัวเอง โดยไม่แสดงสีหน้าท่าทางของความเฝ้าปรารถนาใดๆออกมา แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “ไดอารี่หนึ่งเล่มแลกกับหนึ่งชีวิต ข้อตกลงนี้ผมอาจจะเสียเปรียบมากเกินไปหน่อยนะ หรือจะบอกว่า……ในใจของคุณหนึ่งชีวิตของลู่เซิ่นก็มีค่าแค่นี้เหมือนกัน?”

จนถึงเวลานี้ เขายังไม่ลืมที่จะยุยงให้พวกเขาสองคนแตกแยกกันเลยสักครั้ง

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท