Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – บทที่ 1577 เจรจา

บทที่ 1577 เจรจา

แต่จ้านเซินลืมไปแล้วว่า ฉินซีเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกใบนี้ที่รู้จักเขาจริงๆ

ตราบใดที่เขาไม่ได้พูดถึงความตาย และปฏิเสธไป ณ ตรงนั้น ก็ถือว่ายังมีความหวังอยู่

อันที่จริงจ้านเซินก็ไม่เคยเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ให้อยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ชอบไดอารี่เล่มนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่พูดมากขนาดนี้หรอก

เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับการที่ได้ถือไพ่ตายของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ตอนที่อยู่บนโต๊ะเจรจา โดยรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถละทิ้งข้อตกลงนี้ได้ ฉินซีได้กินยาคลายเครียดไปแล้วหนึ่งเม็ด ก็เลยพูดด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่ราบเรียบไม่น้อยออกไปว่า “อันที่จริงไดอารี่เล่มนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับฉันเท่าไหร่ ในงานศพของเธอในตอนนั้น ฉันก็เคยคิดว่าจะเผามันไปพร้อมๆกับเธอให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีหรือเปล่า อันที่จริงในโลกใบนี้ คนที่แม่ของคุณยังคิดถึงและเป็นห่วงก็แทบจะไม่มีแล้ว การที่ปล่อยให้สิ่งของเหล่านี้ไว้เปล่าๆ มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันนะ”

ฉินซีพูดไปด้วย จับจ้องไปที่การแสดงออกของจ้านเซินอย่างใกล้ชิดไปด้วย เธอต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าที่แสดงออกมาจากบนใบหน้าของเขา

เธอจำได้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่แม่ของเขาเสียชีวิตไป เธอก็ไม่เคยเห็นตอนที่จ้านเซินมีท่าทางที่ยั้งสติไม่อยู่มากเท่าไหร่นัก

นั่นก็หมายความว่า แม่ของเขา ไม่ได้มีน้ำหนักในหัวใจของเขาเพียงเล็กน้อยอย่างที่เขาแสดงออกมาเลย

ขอเพียงเท่านี้ ก็เพียงพอแล้ว

แต่ฉินซีก็ลืมไปแล้วว่า จ้านเซินอยู่ตรงนี้ เรื่องอะไรจะสามารถใช้หลักธรรมนองคลองธรรมทั่วๆไปมาอนุมานได้

แม้ว่าเขาจะให้ความสนใจแม่ของเขาอีกครั้ง แต่ทว่า…น้ำหนักของฉินซีที่อยู่ในใจของเขา กลับมีไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน

ดังนั้นฉินซีจึงเฝ้ารออย่างสงบเสงี่ยม แต่กลับรอไปจนถึงตอนที่จ้านซินหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็ถูกนะ ไดอารี่ของแม่ผม มันไม่มีประโยชน์จริงๆเมื่ออยู่กับคุณ แต่ถ้าอยู่กับผม……มันจะมีประโยชน์จริงๆน่ะเหรอ?”

ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าจ้านเซินกลับคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาว่า “ผมอยากได้ไดอารี่เล่มนั้นจริงๆ สำหรับผมแล้วเงื่อนไขนี้ของคุณเรียกได้ว่าดึงดูดใจมากเลย แต่ว่า…ความจริงเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่คุณยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าผม คุณคิดว่า ผมจะปล่อยคุณไปเพราะความคิดถึงที่มีต่อเธอ แล้วไปเลือกคนตายอย่างนั้นหรือ?”

สีหน้าของฉินซีค่อยๆขรึมลงตามคำพูดของเขาอย่างช้าๆ

เธอกำลังพนันว่าความรู้สึกที่จ้านเซินมีต่อแม่ยังคงอยู่ จึงได้โยนข้อเสนอนี้ออกมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ความสนใจที่เขามีต่อแม่ของเขา กลับไม่ได้มีความน้ำหนักเหมือนที่ฉินซีจินตนาการเอาไว้เลย

…….แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไรดี?

ฉินซีไม่รีบร้อนพูดออกไป แต่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆสักครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆเอ่ยปากพูดว่า “ถ้าคุณต้องการฉัน ฉันก็จะกลายเป็นคนตายได้เหมือนกัน ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหนเลย”

เธอพูดคำพูดนี้อย่างเฉียบขาดมาก แต่จ้านเซินกลับดูเหมือนว่าจะมองความลำบากใจของเธอออกแล้ว และดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอไม่ได้เจตนาจะพูดแบบนี้ รอยยิ้มของเขาจึงชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วก็พูดด้วยคำพูดที่ชั่วร้ายขึ้นมาอีกเล็กน้อยว่า “พูดอย่างนี้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะตกอยู่ในภาวะชะงักงันกันหมดแล้ว แต่ฉินซี ข้อตกลงนี้ของเราไม่สามารถเจรจาได้ คุณเคยคิดไหม ว่าสาเหตุหลักๆมาจากคุณ คุณออกไปจากองค์กร ก็ได้ประโยชน์ตั้งสองอย่าง คุณได้รับสิ่งที่คุณเรียกว่าอิสรภาพ และได้อยู่ด้วยกันกับลู่เซิ่นสมใจ แต่ผมล่ะ ผมได้รับแค่ไดอารี่เล่มเดียว ข้อตกลงที่เสียเปรียบหนึ่งแบบต่อสองแบบนี้ ผมจะทำได้ยังไง?”

ฉินซีฟังความหมายที่ซ้อนอยู่ในคำพูดนั้นของจ้านเซินออกแล้ว จึงค่อยๆลืมตาขึ้นไปมองเขา “งั้นคุณ……ยังต้องการอะไรอีก?”

จ้านเซินไม่พูดอะไรมากมายและวกวนขนาดนี้โดยไม่มีเหตุผลหรอก เขาแค่อยากได้ไดอารี่ และไม่อยากปล่อยฉินซีไป ดังนั้นจึงต้องยกเงื่อนไขขึ้นมาพูดอีกครั้ง

แม่ว่าเธอจะรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจ้านเซินจะไม่พูดอะไรดีๆอย่างแน่นอน แต่ฉินซีก็ยังคงถามออกมา

……ตราบใดที่มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เธอก็อยากทำมัน

จ้านเซินกลับยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ผมเดาว่า……คุณไม่สามารถให้ของอย่างอื่นกับผมได้แล้ว งั้นก็เอาอย่างนี้ ในเมื่อผมได้รับแค่ไดอารี่เล่มเดียว งั้นคุณก็ทำความปรารถนาของคุณให้สำเร็จได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นเช่นกัน แบบนี้เป็นอย่างไร?”

ฉินซีไม่ได้ตอบรับอะไร แล้วลางสังหรณ์ไม่ดีที่อยู่ภายในใจก็ชัดเจนขึ้นมา

แต่จ้านเซินกลับถือเอาความเงียบของเธอเป็นการยอมรับข้อตกลงไปโดยปริยาย แล้วพูดเองเออเองว่า “ผมปล่อยคุณไปได้ และให้คุณออกไปจากองค์กรได้ แต่….คุณก็เพียงแค่ทำความปรารถนาของคุณเป็นจริงได้แล้วข้อเดียวเท่านั้น”

รูม่านตาของฉินซีหดตัวลงทันที และทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดว่า “คุณหมายความว่ายังไง?”

จ้านเซินทำปากเสียงดัง “จึ้ด” นิดนึงด้วยความรำคาญใจ แล้วจึงยกมือชี้ไปที่ลู่เซิ่น “ถ้าจะเอาคำพูดของผมมาพูดให้เข้าใจมากกว่านี้ งั้นผมก็จะพูดตรงๆเลยแล้วกันว่า คุณสามารถเอาไดอารี่มาแลกกับอิสรภาพของคุณได้ แต่คุณไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับลู่เซิ่นได้”

ฉินซีเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว

“จ้านเซิน ในเมื่อฉันเป็นอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะอยู่กับใคร คุณจะมายุ่งกับฉันได้อย่างไร?”

แต่ทว่ายิ่งความโกรธของเธอชัดเจนมากขึ้น รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของจ้านเซินก็ยิ่งลึกขึ้นมากเท่านั้น

เขารู้ดีว่า การเจรจาในครั้งนี้ ในตอนแรกฉินซีได้ถือเบี้ยต่อรองที่คาดไม่ถึงออกมาแล้ว ซึ่งมันทำให้เขาโกลาหลไปเองอยู่บ้างจริงๆ แต่ทว่า……เขาไม่สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอง่ายๆอย่างเด็ดขาด

นี่ไม่ใช่ว่า….เปลี่ยนกลับไปที่สนามของเขาอีกแล้วเหรอ?

บนโต๊ะเจรจา ยิ่งเสียงดังเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกประหม่า

คนที่สงบเงียบ จึงมักจะเป็นคนที่มีความมั่นใจจริงๆ

“ที่คุณพูดนี้มันก็ไม่ถูก” จ้าเซินจับแขนทั้งสองข้าง และการดูถูกเหยียดหยามที่ฉินซีคุ้นเคยนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขา ” อิสรภาพของ คุณผมเป็นคนให้ ดังนั้นคุณจะทำอะไร ผมจึงมีสิทธิ์ยุ่งอย่างแน่นอน”

อิสระแบบนี้คืออะไรกัน?

ฉินซีหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ บังคับตัวเองให้กดความโกรธที่พุ่งสูงไปจนถึงหน้าผากลงไป

มันไม่มีประโยชน์เลยที่จะเถียงกับจ้านเซิน เธอจะต้องใจเย็นๆ ยิ่งรู้สึกโกรธแค้น และยิ่งถูกจ้านเซินมาส่งผลกระทบต่อจิตใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเดินตามทางของเขามากเท่านั้น

แต่เธอยังคิดวิธีต่อรองไม่ออกว่าจะต้องต่อรองกับจ้านเซินอีกได้อย่างไร ทันใดนั้นเสียงของลู่เซิ่นก็ดังขึ้นมา

นับตั้งแต่ฉินซีห้ามปรามจ้านเซิน ความสนใจของจ้านเซินก็ไม่ได้มุ่งไปที่ตัวเขาอีกต่อไป ลู่เซิ่นจึงถอยออกไปไม่สองสามก้าว แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆฉินซีอย่างช้าๆ

ทั้งสองคนคุยกันนานมากแล้ว และไม่มีใครสนใจเขาเลย พอมองดูเขาอีกครั้งในตอนนี้ ก็พบว่าเขาเดินไปอยู่ข้างๆฉินซีแล้ว

ท่าทางของเขายังคงดูกระเซอะกระเซิงมาก ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวเพราะว่าเสียเลือดมากเกินไป ดูเหมือนว่าจะสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ

แต่ทว่าดวงตาของเขากลับสว่างมาก และน้ำเสียงก็สงบมากเช่นกัน “ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็ จ้านเซิน นักฆ่าในองค์กรของพวกคุณจะออกจากองค์กรไป อันที่จริงตัดมือตัวเองออกไปข้างหนึ่ง ก็ได้แล้วนี่”

สีหน้าที่ภาคภูมิใจที่อยู่บนใบหน้าของจ้านเซินจางลงไปเล็กน้อยแล้ว

นี่เป็นกฎเกณฑ์ขององค์กรจริงๆ

คนในองค์กรส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นสองจำพวก จำพวกหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือน อีกจำพวกหนึ่งคือเจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติภารกิจ เจ้าหน้าที่พลเรือนลาออก ก็แค่ต้องผ่านการถอดสะกดจิตเพื่อไม่ให้ความหลับรั่วไหลก็ได้แล้ว แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจจะไป กลับต้องตัดมือข้างหนึ่งของตัวเอง

เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ไปภักดีต่อองค์กรอื่นอีกต่อไปในอนาคต

อันที่จริงถ้าขาดมือข้างที่ตัวเองถนัดที่สุดไปแล้ว ต่อให้มีฝีมือยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็ไม่สามารถรักษาระดับเดิมของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป

แต่ทว่า……แม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้ผิดอะไร แต่ถึงอย่างไรเสียนี่ก็เป็นความลับขององค์กร แม้แต่ฉินซีเองก็ไม่รู้เลยว่า ลู่เซิ่นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

จ้านเซินเก็บงำความสงสัยหนึ่งเอาไว้ในใจ และสายตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาเรื่อยๆ

เขาไม่ได้ตอบคำพูดของลู่เซิ่น เพียงแต่มองไปที่เขา เพราะอยากรู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไรกันแน่ถึงได้จงใจพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท