“ตกลง” ในน้ำเสียงของจ้านเซินมีความรู้สึกที่เหมือนกำลังดูละครอยู่เล็กน้อย โดยไม่สนใจสีหน้าถังย่าที่เปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหันและหัวสั่นอย่างบ้าคลั่งอยู่อีก้านหนึ่งเลย แล้วหันไปพูดกับลู่เซิ่นอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “ในเมื่อประธานลู่พูดถึงขนาดนี้แล้ว แล้วถ้าผมปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าผมคงจะดูเหมือนคนต่ำทรามที่ไม่กล้ารักษาสัญญาคนหนึ่งเลยสินะ”
สีหน้าของลู่เซิ่นสงบเยือกเย็นมาก เขาพยักหน้าไปมา แล้วพูดว่า “แต่คุณพูดด้วยลมปากแบบนี้……มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะ”
เดิมทีจ้านเซินคนนี้ไม่ใช่คนที่จะทนการยั่วอารมณ์ไม่ไหวอย่างนี้เลย แต่ในขณะนี้สภาพจิตใจของเขาไม่ปกติแล้ว และลู่เซิ่นก็จงใจปูทางเอาไว้นานแล้ว ดังนั้นในตอนนี้เขาก็เลยถูกลู่เซิ่นตั้งคำถามแบบนี้ เขาจึงหันไปมองถังย่าทันที แล้วพูดว่า “ถังย่า ไปเอาของมา”
จ้านเซินคนนี้ขี้ระแวงมาก เขาไม่เคยไว้ใจตู้เซฟธนาคารใดๆให้เก็บรักษาเอกสารที่สำคัญๆเลย เขาก็เลยมักจะพกติดตัวมาด้วยเสมอ
แน่นอนว่าลู่เซิ่นรู้เรื่องนี้จากฉินซีมาก่อนแล้ว เขาจึงได้เสนอเงื่อนไขนี้ออกมา
เพียงแต่สภาพจิตใจของจ้านเซินไม่ปกติ ส่วนถังย่ากลับมีสติสัมปชัญญะ เธอดูออกมานานแล้วว่าอากัปกิริยาของลู่เซิ่นไม่ใช่การยั่วอารมณ์ใดใดเลย
——เขายอมตัดมือข้างหนึ่งของตัวเองเพื่อแลกกับอิสรภาพของฉินซีโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ถ้าจ้านเซินเอาโฉนดที่ดินมาเป็นหลักประกันจริงๆ เช่นนั้นเขาก็……ได้ปล่อยให้ฉินซีเป็นอิสระอย่างแท้จริงแล้ว
แบบนี้……มันจะดีจริงๆน่ะหรือ?
แม้ว่าถังย่าจะลังเลและตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่เดิม แต่จ้านเซินกลับหมดความอดทนแล้ว พอเห็นเธอไม่ขยับไปไหน เขาก็เลยหันไปทิศทางที่รถจอดอยู่แล้วตะโกนให้ลูกน้องคนหนึ่งเอาของมาให้เขา
ที่จอดรถอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แต่เขากลับไม่ได้ยินการสนทนาของพวกเขาเมื่อสักครู่นี้เลยจริงๆ ลูกน้องคนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เขาเห็นว่าจ้านเซินสั่ง และถังย่าก็ยืนอยู่กับที่โดยไม่ส่งเสียงห้ามใดๆ เขาก็เลยถือของมามอบให้จ้านเซิน
แท้จริงแล้วมันก็คือกรรมสิทธิ์ของเกาะนั่นเอง เอกสารมีหลายหน้าอย่างแน่นหนา จ้านเซินถือมันไว้ในมือ แล้วตบไปมาเหมือนกำลังโอ้อวดพลังอำนาจ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยุว่า “เป็นยังไง ประธานลู่ ผมนำของมาหมดแล้ว ของของคุณ……ควรจะเอาออกมาส่งมอบได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ขณะที่เขาพูด สายตาของเขาก็มองไปที่มือขวาของลู่เซิ่น แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ ในรอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยการเหน็บแนม
แต่สีหน้าของลู่เซิ่นกับยิ่งสงบนิ่ง เขาไม่ได้ดูกองกระดาษที่จ้านเซินถืออยู่ในมือเลย เพียงแต่หันไปพูดกับจ้านเซินว่า “เราทำธุรกิจ จะต้องดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท ตอนนี้คุณได้เอาของออกมาแล้ว พอผมตัดมือไปแล้วจริงๆ คุณกลับคำขึ้นมา แล้วผมจะทำยังไงล่ะ?”
จ้านเซินรู้สึกหมดความอดทนแล้ว ไม่รอให้เขาพูดทั้งหมดให้จบ เขาก็พูดขึ้นเสียงออกมาว่า “ประธานลู่ต้องการเซ็นสัญญาใช่ไหม? ทำไมต้องทำอะไรให้มันซับซ้อนอย่างนี้ด้วย จะเซ็นก็เซ็น!”
ลู่เซิ่นหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดว่า “ดี ผมชอบทำธุรกิจกับคนที่ใจถึงเหมือนกัน!”
ในขณะที่พูดอยู่ เขาก็เอาสัญญาฉบับหนึ่งออกมาจากในเสื้อ
จนถึงขณะนี้ นอกจากจ้านเซินที่อยู่ในสภาพที่ไม่ปกติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นถังย่าหรือฉินซี ก็ล้วนมองจนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
แม้แต่สัญญาก็เตรียมไว้ล่วงหน้า ลู่เซินไม่ได้คิดวิธีนี้ขึ้นมาตอนที่อยู่ในช่วงเวลาที่จวนตัวอย่างแน่นอน
เขา…วางแผนวางจะต้องทำอย่างนั้นมานานแล้ว
หว่างคิ้วของฉินซีถูกย้อมไปด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวแล้ว
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ลู่เซิ่นจะทำถึงขั้นนี้จริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง……ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เธอแทบจะอยู่ข้างกายลู่เซิ่นทุกย่างก้าวไม่ห่างไปไหน แต่กลับไม่รู้ว่าเขาเตรียมการเหล่านี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะทำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่เธอรู้เพียงว่า ตัวเอง……จะไม่ยอมให้มีการเซ็นสัญญาในข้อตกลงนี้เด็ดขาด
เธอรู้ดีว่า ลู่เซิ่นได้ตัดสินใจอย่างแน่ชัดว่าจะใช้มือข้างหนึ่งมาแลกหลังจากที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันแล้วจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอรู้สึกเจ็บปวดใจกับลู่เซิ่นมากแค่ไหน เพียงแค่พิจารณานิดเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอไม่มีทางยอมรับได้แล้ว
……ความรักที่แลกมาด้วยวิธีนี้ ฉินซีกับลู๋เซิ่นจะสามารถทนแบกรับได้จริงๆน่ะหรือ?
ฉินซีมั่นใจมากว่าตัวเองรักลู่เซิ่น รักจนชีวิตนี้ไม่สามารถที่จะแยกจากเขาได้ แต่ระหว่างเธอกับลู่เซิ่นได้ผ่านเรื่องเข้าใจผิดมามากมายขนาดนี้ เธอเข้าใจผิดเพียงฝ่ายเดียวว่าเธอกับลู่เซิ่นผูกความสัมพันธ์กันขึ้นมาด้วยการใช้เงินมานานมาก เธอเบื่อกับรสชาติแบบนี้แล้ว ดังนั้นจึงหวังว่าต่อจากนี้ไป ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคือความรักที่บริสุทธิ์ตลอดไป ไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งอื่นสิ่งใดอีกแล้ว
ถ้าลู่เซิ่นจ่ายค่าตอบแทนด้วยมือข้างเดียวจริงๆ ดังนั้นฉินซีจึงรู้ว่า ตัวเองจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในความรู้สึกผิดตลอดไป
ความรู้สึกผิดระคนอยู่ในความรัก มันจะเป็นเรื่องที่ดีจริงๆน่ะหรือ?
เธอคิดแบบนี้ไปด้วย พร้อมกับสาวเท้าก้าวไปทางลู่เซิ่นและจ้านเซินไปด้วย
แต่ในเวลาไร่เรี่ยกันนั้น ถังย่าก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน
ในฐานะผู้บังคับบัญชาคนที่สองในองค์กรรองจากจ้านเซิน เธอต้องหยุดพฤติกรรมที่ไร้สติของจ้านเซินให้ได้
เธอกับฉินซีมองออกเหมือนกันว่า ลู่เซินได้ตัดสินใจที่ไปแล้ว ว่าจะต้องให้จ้านเซินลงนามในข้อตกลงนี้ เพื่อที่จะได้ป้องกันให้เขาไม่ต้องเสียใจในภายหลัง
แต่ถังย่าก็รู้ดีเช่นกันว่า จ้านเซิน…จะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน
สภาพจิตใจตอนนี้ไม่ปกติเลย แต่เมื่อรอให้เขาฟื้นคืนสติกลับมา และรู้แล้วว่าตัวเองปล่อยให้ฉินซีเป็นอิสระด้วยมือของตัวเอง เกรงว่าองค์กรจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกโค่นล้ม และเขาจะต้องฉีกข้อตกลงทิ้งแล้วนำตัวฉินซีกลับมาด้วยเป็นแน่
ถึงตอนนั้น……ทุกสิ่งทุกอย่างคงหมดสิ้นกันแล้ว
ไม่สู้ถือโอกาสรีบยับยั้งไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า
แม้ว่าทั้งสองคนจะมีเป้าหมายต่างกัน ฉินซีทำเพื่อรักษามือของลู่เซิ่น ส่วนถังย่าก็ทำเพื่อรักษาองค์กร แต่การกระทำของทั้งสองมีความสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดใจ นั่นก็คือจะต้องห้ามจ้านเซินไม่ให้ลงนามในข้อตกลงที่ไร้สาระนี้
ความเร็วของทั้งสองคนไม่ถือว่าช้าเกินไปเลย พวกเธอเดินไปหาลู่เซิ่นกับจ้านเซินเกือบจะทันทีที่ลู่เซิ่นหยิบสัญญานั้นออกมา
ถังย่าอยู่ไกลไปหน่อย ตากำลังจ้องมองจ้านเซินรับสัญญาไปตาปริบๆ แต่ฉินซีอยู่ข้างๆพวกเขาสองคนชัดๆ กลับห้ามไม่ทัน
——จ้านเซินเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไป ในเวลาชั่วพริบตา สัญญาของลู่เซิ่นตกไปอยู่ในมือของเขาแล้ว
จ้านเซินเพียงแค่อยากจะหัวเราะในเวลานี้
ลู่เซิ่นคงคิดจริงๆว่าการที่เขาถือสัญญาออกมามันจะสามารถทำให้เขากลัวตัวเองได้ เขาคิดว่าตัวเองจะไม่กล้าเซ็นจริงๆน่ะหรือ?
ล้อเล่นน่ะ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นลู่เซิ่นบอกปัดทุกวิถีทางในวินาทีสุดท้ายเพราะไม่กล้าที่จะตัดมือ และทำให้ฉินซีผิดหวังที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้อย่างชัดเจน
ความรีบเร่งในหัวใจของจ้านเซินได้สะท้อนออกมาผ่านการกระทำของเขาทั้งหมดแล้ว ซึ่งเขาแทบจะใช้ความเร็วสูงสุดของตัวเองในการคว้าสัญญามาจากในมือของลู่เซิน แล้วกวาดสายตาดูเนื้อหาข้างใน
เนื้อหาที่กำหนดในสัญญานั้นง่ายมาก ไม่ต่างจากที่ลู่เซินพูดเลย ลู่เซิ่นได้เซ็นชื่อของตัวเองเอาไว้ด้านล่างแล้ว
ตอนนี้จ้านเซินกำลังอยู่ในอารมณ์กระหยิ่มยิ้มย่อง ก็เลยไม่ได้ไปคิดมากว่าทำไมลู่เซิ่นถึงได้ร่างข้อตกลงไว้ล่วงหน้าหากทำเพื่อถ่วงเวลา และทำไมเขาถึงได้เซ็นชื่อเอาไว้ล่วงหน้าราวกับกลัวว่าเขาจะผิดสัญญา เขาแค่อยากจะตั้งใจรอดูท่าทางที่กลับคำพูดของลู่เซิ่นสักพัก ดังนั้นก็เลยเอาแต่มองดูอย่างรีบเร่ง ถึงขั้นที่ว่าก่อนที่ฉินซีจะมีการตอบสนองมา เขาก็ได้เซ็นชื่อของตัวเองอย่างรวดเร็วฉับไวไปแล้ว
เซ็นเสร็จ เขาก็โยนข้อตกลงกลับไปไว้ในอ้อมแขนของลู่เซิ่นด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจมาก แล้วพูดว่า “เซ็นเสร็จแล้ว ประธานลู่ ถึงเวลาที่คุณต้องทำตามสัญญาแล้ว”
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบอะไร เขาเอาแต่มองดูสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ของสำนักงานใหญ่ขององค์กรที่อยู่ในมือของจ้านเซินฉบับนั้นเท่านั้น
จ้านเซินเหลือบมองไปตามสายตาของเขา แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะขึ้นมา