I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี – ตอนที่ 169

ตอนที่ 169

Chapter 169 โคจร

แอนนิสตันที่นั่งอยู่ข้างเอริคอย่างเงียบมาโดยตลอดนั้นสับสนอยู่บ้าง ตอนมา เอริคไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ของการเชิญโรเบิร์ต เชียร์มาในครั้งนี้ แต่ตอนนี้อาหารเย็นก็กินไปกว่าครึ่งแล้ว ทั้งสองคนกลับคุยกับแต่เรื่องการซื้อบริษัทภาพยนตร์ คุยกันในเรื่องธุรกิจทุกๆอย่าง อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้

ตอนแรกแอนนิสตันเริ่มฟังด้วยความสนใจ ต่อมาก็ค่อยๆหมดความสนใจไป แต่ก็ไม่ทำให้แฟนหนุ่มของเธอเสียหน้าแต่อย่างใด เธอก็แค่ทำท่าทางเหมือนตั้งใจฟังที่ทั้งสองคนพูดก็เท่านั้น ถึงแม้ว่าความจริงเธอนั้นเลิกสนใจที่พวกเขาคุยกันตั้งนานแล้วก็ตาม

จนพนักงานมาเก็บอาหารที่พวกเขากินหมดออกไป หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ย้ายไปที่โซนกาแฟกันแทน และแน่นอนว่าเอริคยังคง ‘คุย’ กับโรเบิร์ต เชียร์ ไม่เสร็จ

” ……ช่วงนี้ รายการโชว์เริ่มปรากฏเป็นบทความอยู่บนนิตยสารต่างๆ มันจะเริ่มแสดงผลตั้งแต่ปีหน้า วิดีโอ บันทึก และลิขสิทธิ์รายการทีวี จะทำรายได้มากกว่าโรงฉาย อีกทั้งหนังที่เริ่มปล่อยฉายทุกเรื่อง ยิ่งนานวันยิ่งมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการเปลี่ยนไปผลิตหนังออกช่องทางต่างๆจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ในอนาคตเนื้อหาของหนังที่สมบรูณ์ก็ยากที่จะคงอยู่ต่อไป “

” หากพูดอย่างนี้จะเป็นการพูดด้านเดียวไปหน่อย หากไม่มีผลงานที่ยอดเยี่ยม การสร้างช่องทางใหญ่ๆอย่างนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แม้ฮอลลีวูด จะยกระดับคุณภาพทีละส่วนๆ หรือต่างประเทศจะเริ่มเปิดกว้าง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ ถ้าหนังยุโรปของพวกเราไม่ได้รับการยอมรับ ภาพยนตร์ก็จะมีน้อยมาก นั่นก็เหมือนกันกับหนังของยุโรป เป็นได้แค่ส่วนหนึ่ง มันก็เหมือนทางด่วนที่สำคัญ ถ้าไม่มีรถ ทางด่วนก็ไม่มีประโยชน์อะไร อีกทั้งค่าตัวดาราหนังฮอลลีวูดก็เพิ่มขึ้น จากเมื่อ 10 ปีก่อนถึง 10 เท่า แต่หนังกลับเริ่มแบ่งแยกผลประโยชน์กันแล้ว ในส่วนของภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดคือการรวบรวมกราฟฟิก ” เอริคพูดจบก็ดื่มกาแฟอย่างไม่เร่งรีบ มองไปที่ โรเบิร์ต เชียร์ หลังจากอาหารเย็นเริ่มไม่นาน ทั้งสองคนก็คุยทับแข่งกัน ไม่ทันไรความอึมคึมก็เข้าปกคลุม แม้ว่าจะไม่มีใครพูดเกี่ยวกับหัวข้อการซื้อบริษัทเลย แต่ทั้งสองคนกลับพูดถึงเนื้อหาของหนังต่างๆ ใครพูดเรื่องความสำคัญก็จะเริ่มโต้แย้งกันมากขึ้น

เกี่ยวกับหัวข้อนี้นั้น โรเบิร์ต เชียร์เป็นคนเลือกขึ้นมาพูดคุยกัน ที่จริงแล้วจากช่วงเวลานั้น โรเบิร์ต เชียร์ก็รู้ถึงข้อเสียเปรียบของเขาแล้ว เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนเลือกหัวข้อนี้ เอริคก็เข้าใจว่า โรเบิร์ต เชียร์นั้นตื่นเต้นมากที่ Firefly เอ่ยปากจะซื้อบริษัทNew Line Cinema ถ้าอีกฝ่ายไม่ตกลงขาย ก็คงจะไม่พูดถึงหัวข้อนี้อย่างแน่นอน

ในใจของโรเบิร์ต เชียร์ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเอริคนั้นดูจะกล้ำกลืนนิดหน่อย เนื่องจากว่าเขาพบว่าตัวเองนั้นได้ประเมินความรู้ความสามารถของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต่ำเกินไป

ในฐานะที่เป็นผู้มีประสบการณ์ในฮอลลีวูดมากว่า 20 ปี เขาจะไม่เข้าใจหัวข้อที่เลือกมานี้ได้อย่างไร หัวข้อเหล่านี้ก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสนใจในตัวเขาได้

แต่เดิมที่โรเบิร์ต เชียร์คิดว่า ถึงแม้เอริคอายุจะ 19 ปี และก็มีพรสวรรค์ในทางด้านการสร้างหนัง แต่ด้านอื่นๆคงมีความรู้แค่เพียงเล็กน้อย อีกทั้งตัวเขาเองก็แก่กว่าเขาถึง 30 กว่าปี เรียกได้ว่าสะสมประสบการณ์มาแล้วกว่า 30 ปี โรเบิร์ตยังรู้สึกอีกว่าวาทศิลป์ของตัวเองนั้นก็ไม่เลวเท่าไร ดังนั้น ในตอนเริ่มต้นเขามั่นใจมากว่าจะสมารถควบคุมเอริคได้ ในใจของเอริคนั้นมีเมล็ดพันธุ์ความคิดว่า ‘การสร้างช่องทางนั้นเป็นจุดสำคัญ’ การต่อรองในอนาคตของ โรเบิร์ต ก็จะสามารถเริ่มถือหุ้นได้

เอริคกำกับหนังที่ดังอย่างน่าอัศจรรย์มาหลายเรื่อง ดังนั้น เขาจึงเริ่มมีชื่อเสียงเอริค อีกทั้งหลังจากมีข่าวออกมา โรเบิร์ต เชียร์นั้นตื่นตัวอย่างมาก หาก Firefly ซื้อNew Line Cinema นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่ โรเบิร์ต เชียร์ จะตอบรับโดยไม่ต้องพิจารณา แต่โรเบิร์ต เชียร์แม้ว่าจะอายุ 50 ปีแล้ว แต่เขายังคงมีความทะเยอทะยานอยู่มาก เขาไม่ได้สนใจถึงเงินทุนของ Firefly ที่จะมีมากพอที่จะซื้อNew Line Cinema แต่เขาคาดหวังว่าทั้ง 2 บริษัทจะรวมกันได้จริงๆ หลังจากนั้นมูลค่าของบริษัทต้องเพิ่มสูงอย่างมาก

บริษัทNew Line Cinema ถึงตอนนี้ก็พัฒนามาถึงจุดคอขวดแล้ว ทั้งสองสายงานของบริษัท New Line Cinema เป็นเหมือนดาวค้างฟ้า มันมีรายได้จากซีรีย์ภาพยนตร์ที่มั่นคง เพียงแค่ในอเมริกาการสร้างช่องทางจำหน่ายก็ถือว่าดีแล้ว และมีบางส่วนเริ่มจัดจำหน่ายในต่างประเทศแล้ว ที่มีค่ายิ่งกว่านั้น New Line Cinema ที่พัฒนามาถึงตอนนี้นั้นยังไม่เคยรวมเข้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งใด พวกเขาจัดการทั้งหมดเอง สร้างการทำงานขึ้นมา เกือบเท่ากับบริษัทภาพยนตร์ 6 ยักษ์ใหญ่ ความแตกต่างของ New Line Cinema นั้นกว้างมากๆ และหลักสำคัญที่สุด คือNew Line Cinema นั้นไม่มีโรงฉายขนาดใหญ่ จนกระทั่งตอนนี้ซีรีย์ที่กำไรดีที่สุดของNew Line Cinemaคือ 《A Nightmare on Elm Street》รายได้ที่สูงที่สุดก็มีแค่ 400 กว่าล้าน ส่วนหนังก็เหมือนสินค้าขนาดใหญ่ รายได้ในอเมริกาเหนือต้องไปถึง 100 ล้านดอลล่าร์ถึงจะได้มาตรฐาน เมื่อหนังไม่มีโรงฉายขนาดใหญ่ New Line Cinema ก็ยากที่จะพัฒนาไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่

โรงฉายในฮอลลีวูดนั้นมีกฎ 80/20 นั้นชัดเจนมาก ทุกปีหนัง 20% ที่ทำรายได้เกิน 80% แต่ทุกปีหนังขึ้นไปถึง 10 อันดับของโรงฉาย ล้วนเป็นของ บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ทั้ง 6 ที่ครอบครองตลาด ทำให้รายได้กว่า 80% ของโรงฉายอยู่ใน 6 บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่นี่แหละ แต่ที่จริงแล้วในช่วงปีนี้ 6 บริษัทเหล่านี้ล้วนมียอดขายที่ลดลง

เพราะการพัฒนาของช่องทุกช่อง ด้วยตัวเอง บริษัทภาพยนตร์นั้นเริ่มมีการพัฒนาไปอย่างมาก ดังนั้น 6 บริษัทยักษ์ใหญ่ทุกปีจะถือรวมจากโรงฉายแค่ 85% ส่วนแบ่ง 15% เป็นของบริษัทภาพยนตร์อื่นๆ แม้จะดูเหมือนว่ามีขนาดเล็ก แต่เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ขนาดนี้ก็นับว่าใหญ่มากแล้ว 10 ปีก่อนหน้านี้ 6 บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่โดยพื้นฐานแล้วในโรงฉายทุกที่ เมื่อตัดออกแล้วจะมีส่วนแบ่งที่แบ่งให้บริษัทขนาดเล็กแค่ 1% เท่านั้น

New Line Cinema ถ้าต้องการไปให้ถึงระดับพันล้านต้องแบ่งทำกำไรออกมาจาก 80% อีก ก่อนจะพบกับเอริค มีแค่ 2 ทางที่จะไปได้ ถ้าไม่ทุ่มลงไปอย่างสุดตัว ลงทุนสร้างหนังเพื่อสร้างโอกาสต่อไป อย่างนี้ถึงจะขายตั๋วได้จำนวนมาก แต่ถ้าทำใหญ่เกินตัวอย่างนี้แล้วเกิดล้มเหลว New Line Cinemaมีแต่จะล้มละลายอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นก็อดทนต่อไป บางทีสักวันหนึ่งส่วนหนึ่งของบริษัทอาจจะถูกกดดันจากโรงฉายทันที อีกส่วนคือผู้นำของบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ไม่เลว ก็อาจจะขายตั๋วได้มากขึ้น เมื่อตระหนักถึงความจริง หากสักวันหนึ่งบริษัทจะขึ้นไปถึงระดับยักษ์ใหญ่ พวกเขานั้นต้องพึ่งโชคชะตาพาขึ้นไป

หลังจากเอริคซื้อได้ตามต้องการ โรเบิร์ต เชียร์ มองเห็นเส้นทางใหม่เพิ่มอีก 1 เส้นทาง เส้นทางนี้ทำให้ New Line Cinemaไม่ต้องรองรับความเสี่ยง และก็ไม่ต้องรอคอยโชคชะตาอย่างช้าๆ แต่ค่อยๆก้าวไปอย่างมั่นคง หนังของเอริคทั้งหมดก่อนหน้านี้ พิสูจน์แล้วว่าเขามีความสามารถ
แม้ว่าใน 6 บริษัทจะมีญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้น แน่นอนว่าต้องเจอกับบริษัทNew Line Cinema กับ Firefly

หลังจากที่กาแฟลงท้องไปแล้วสองแก้ว โรเบิร์ต เชียร์ก็ไม่ความอดทนที่จะใช้เวลากับเอริคต่อไป ความอดทนของวัยรุ่นตรงหน้าเขาช่างน่าตกใจจริงๆ แม้ว่าไม่ตกลงทำสัญญา โรเบิร์ต เชียร์ ก็ยังต้องเผชิญกับการต่อสู้ครั้งนี้ ที่จริงตัวเองได้ยอมแพ้ไปแล้ว นั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นอีก บางทีเอริคน่าจะคิดว่าการพบหน้าครั้งนี้เป็นการคุยครั้งแรก หลังจากยืนขึ้นแล้วบอกลา การพบกันครั้งหน้าอาจจะเป็นเพียงแค่ต่อรองราคาเท่านั้น

” เอริคได้ยินว่า Firefly เตรียมพัฒนาช่องทางจำหน่ายของตัวเองเ หรอ ? ” โรเบิร์ต เชียร์ ถามขึ้นขณะที่ใช้ช้อนคนกาแฟต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เอริคยิ้มมุมปาก ในที่สุดอีกฝ่ายก็ทนไม่ไหวแล้ว อาหารมือนี้กินมาใกล้จะ 2 ชั่วโมงแล้ว เอริคเองก็เกือบจะหมดความอดทนที่จะต่อรองกับโรเบิร์ตต่อไปแล้ว เอริคตั้งใจว่าจะดื่มกาแฟตรงหน้าให้หมด แล้วค่อยบอกลากับอีกฝ่าย จากนั้นก็กลับไปนอนกอดแอนนิสตันบนเตียงแล้ว ที่เหลือก็แค่บริษัท Firefly ยื่นข้อเสนอซื้ออย่างเป็นทางการไปให้New Line Cinema

ในอาหารมื้อนี้ เอริคเพียงต้องการจะได้ยินจากปากของโรเบิร์ต เชียร์ ถ้าอีกฝั่งไม่สนใจขายNew Line Cinema เพราะในความทรงจำ การควบคุมและความต้องการของโรเบิร์ต เชียร์ นั้นมองดูจะมีเยอะมาก New Line Cinema ในชีวิตก่อนแม้ว่าจะถูก WB ครอบครองไป แต่โรเบิร์ต เชียร์ก็ทนถูกกดดันไม่ได้

โรเบิร์ต เชียร์ ตอนเริ่มพูดหัวข้อนี้ หลังจากที่พูดคุยกับเอริคอยู่นาน ก็แสดงท่าทางของเขาออกมา ดังนั้นพูดหรือไม่พูดก็ไม่จำเป็นมากนัก กลับกันที่การตรวจสอบเอกสารยังต้องใช้เวลาพูดคุยอีกยาวนาน โซนี่ซื้อโคลัมเบียตอนนี้ก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งปีแล้ว แล้วยังมีเวลาวางแผนก่อนหน้านั้นอีก อย่างน้อยก็ต้องใช้ไปแล้วปีนึง เมื่อ Firefly ซื้อNew Line Cinema แม้ว่าจะไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น แต่ก็ไม่สามารถเสร็จได้ใน 2 เดือนแน่ๆ

I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี

I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลี

Status: Ongoing

ผู้กำกับหนังได้กลับมาเกิดในปี 1988 ที่ฮอลลีวูดในฐานะเด็กชายชาวตะวันตกวัย 18 ปีที่ชื่อ เอริควิลเลียม จากนั้นเขาก็เริ่มเขียนบนทหนัง เพลงและรายการทีวีขึ้น แล้วกลายเป็นผู้กำกับที่เก่งในทุกด้านของวงการบันเทิง ชนะใจของดาราสาวทุกคนและเข้าสู่เส้นทางตำนานผู้กำกับแห่งฮอลลีวูด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท