ตอนที่ 199 การเลือกรางวัล
หลังจากมาเปลี่ยนเครื่องที่ลอนดอนแล้วพวกเขาก็นั่งต่อไปอีก 2 ชั่วโมง ในที่สุดเอริคและอลัน ก็ถึงสนามบินนานชาติมาร์โค โปโลของเวนิส
ตามแผนงานที่วางไว้ผู้ที่มารับพวกเขาที่สนามบินมีเพียงโจนาธาน เดมี่และเวอร์จิเนียแค่สองคนเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงเอริคก็พบกับชายวัยกลางคนอย่างบิลการ์ล็อตต์เพิ่มมาหนึ่งคน และนอกจากพวกเขาสามคนแล้วก็ยังมีผู้ช่วยติดตามมาด้วยอีก 2 คน เมื่อแนะนําตัวอะไรกันเรียบร้อย แล้วเอริคก็เพิ่งรู้ว่าบิล การ์ล็อตต์เป็นผู้จัดการของบริษัท Disney ในเครือทวีปยุโรป เพราะเหตุนี้บริษัท Disney จึงได้สิทธิ์ในการจัดจําหน่ายหนังเรื่อง The Others และบิล การ์ล็อตต์ยังถูกมอบหมายให้ไปช่วยเหลือโจนาธาน เดมีในการโฆษณาประชาสัมพันธ์หนังอีกด้วย
หลังจากที่กล่าวทักทายกันเรียบร้อยแล้ว เอริคและคนอื่นๆก็ยกกระเป๋าขึ้นเรือยอร์ชที่เทียบท่ารอพวกเขาอยู่ ซึ่งเรือลํานี้ไม่ได้ไปเกาะเวนิส แต่มันพาพวกเขาตรงไปยังเกาะลิโด้แทน ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ในทะเลสาบเวนิส พวกเขาเข้าพักโรงแรมที่มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงแรมนี้มีเรื่องราวที่ดูน่าสนใจมาก ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ของ เมืองเวนิสนี้เริ่มมาจากการแก้ไขปัญหาจํานวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักที่โรงแรมด้านสถาปัตยกรรมในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแห่งนี้ จนถึงตอนนี้ โรงแรมด้านสถาปัตยกรรมแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ อย่างหนึ่งของงานเทศกาลหนังเมืองเวนิสไปแล้ว โดยเฉพาะจ้าภาพการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ของเมืองเวนิสและแขกรับเชิญพิเศษเท่านั้นจึงจะได้พักที่โรงแรมแห่งนี้
และด้วยความเป็นหนึ่งในแขกผู้มีเกียรติของงานครั้งนี้เอริคจึงมีสิทธิ์ในการเข้าพักโรงแรมแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นห้องพักของเขาเป็นห้องพัก Vip ที่สามารถมองเห็นทะเลได้อีกด้วย
“เตียง เตียง! ” หลังจากที่โจนาธานและบิลออกไป เอริคจึงได้ตะโกนร้องออกมาพร้อมกับกระโดดขึ้นไปนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง
เวอร์จีเนียที่กําลังจัดการกับเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางอยู่นั้นก็หันมาเห็นเอริคแสดงอาการอย่า งนั้นจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ “นั่งเครื่องมาเหนื่อยละสิ? ”
”เหนื่อยมันไม่เหนื่อยหรอก แต่รู้สึกแย่มากกว่า ก็ตอนที่ล่องเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกอ่ะ ดันเจอกระแสคลื่นแรงนะสิ” เอริคถอนรองเท้าหนังออกแล้วเอนตัวลงบนเตียงอย่างสบายใจ พร้อมกับหันไปมองหญิงสาวที่กําลังง่วนอยู่กับการเก็บเสื้อผ้าของเอริคเข้าตู้
เวอร์จีเนียที่อยู่ในชุดสบายๆด้วยเสื้อแขนกุดลายลูกไม้สีขาว ท่อนล่างเป็นเกางเกงสีขาวขายาว เมื่อมองจากด้านหลังชุดนี้ทําให้เห็นรูปร่างที่โค้งเว้านูนอย่างชัดเจนของหล่อน ดูแล้วช่างน่าเย้ายวนใจจริงๆ เอริคใช้มือวาดไปตามโครงร่างของหล่อน
จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวกระโดดลงมาจากเตียง แล้วตรงเข้าไปกอดเวอร์จีเนียจากด้านหลังทันที มือทั้งสองข้างโอบเอวของหล่อนเอาไว้พร้อมกับใช้มือลูบไล้ไปตามเสื้อจนไปหยุดอยู่ที่กล้ามเนื้อกึ่งกลางระหว่างเสื้อกับกางเกง แล้วยื่นหน้าพ้นต่างหูทับทิมที่ส่องแสงแวววาวอยู่ตรงติ่งหู ไปจับที่แก้มด้านขวาของหญิงสาว
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงการกระทําที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของเอริค ร่างกายที่สั่นสะท้านนั้นหันกลับมาทางเอริค เสื้อที่อยู่ในมือของหล่อนก็ล่วงหล่นไปบนพื้นมือเล็กๆนั้นจับที่แขนของเอริคที่โอบอยู่ที่เอวของหล่อน แล้วพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “เอริค อย่าทําอย่างนี้ พวกเขาพวกเขารอคุณอยู่ที่ห้องอาหารนะ”
เอริคจับปากของหญิงสาวและจูบมันเบาๆก่อนจะพูดว่า “คืนนี้มาพบฉันที่ห้อง”
“ไม่..ไม่ได้” หญิงสาวรับรู้ได้ถึงมือใหญ่ของเอริคที่บีบอยู่ที่สะโพกของหล่อน หล่อนจึงรีบปฏิเสธกลับไปว่า “ถ้ามีคนมาเห็นเข้าจะดูไม่ดีนะ รอให้กลับลอสแองเจลิสก่อน..ดี.ดีไหม?”
“ก็ได้” เขาเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าแขกทั้งหมดในโรงแรมแห่งนี้ล้วนเป็นแขกคนสําคัญที่มาร่วมงานเทศกาลครั้งนี้ทั้งนั้น และไหนจะมีจ้าภาพการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ของเมืองเวนิสอีก ถ้าพวกเขาพบว่าเขาอยู่กับเวอร์จีเนียคงเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่วายที่จะเอามือไปจับหน้าอกของหญิงสาวแล้วบีบมันอยู่หลายครั้งก่อนพูดว่า “คุณใส่ชุดนี้แล้วดูดีมากจริงๆ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวจึงหันไปจับที่แก้มของเอริคก่อนจะพูดว่า “ครั้งหน้าฉันจะใส่ให้คุณดูบ่อยๆนะ”
“จริงๆนะ” เมื่อพูดจบเอริคก็ยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาวด้วยเสียงเบาๆว่า “ไม่ใส่อะไรเลยดูดีกว่า”
เวอร์จิเนียรู้ว่าเอริคกําลังหมายถึงอะไร คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดลวนลามหล่อนอย่างนี้ หล่อนถลึงตาใส่เอริคก่อนตีที่ไหล่ของเอริค “ไอ้คนโรคจิต”
เอริคหัวเราะออกมาพร้อมกับตีไปที่ก้นของหญิงสาวด้วยฝ่ามือของเขา เมื่อโดนอย่างนั้นหญิง สาวรีบเปลี่ยนเรื่องทันที หล่อนก้มลงเก็บเสื้อที่ตกอยู่บนพื้นของเอริค “ฉันช่วยคุณเก็บของดีกว่าทุกคนรอนานแล้ว”
“เอริคนี่คือประวัติของจอร์น แลนดิสคุณควรดูสักหน่อยก่อนไปพบเขาคืนนี้” ณ ห้องอาหารของโรงแรม เอริคและโจนาธานที่นั่งรวมกับคนอื่นๆในโต๊ะอาหารเดียวกัน คนที่ถูกส่งตัวมาจาก บริษัท Disney อย่างบิล การ์ล็อตก็คือหนึ่งในนั้น ในขณะที่กําลังนั่งคุยกันอยู่ บิลก็ยื่นข้อมูลชุดหนึ่งให้กับเอริค
ซึ่งก่อนหน้านั้นเอริคก็ได้อ่านประวัติส่วนตัวคร่าวๆของจอร์น แลนดิสมาบ้างแล้ว และเขาก็รู้ที่คนของบริษัท Disney ยื่นข้อมูลของชายคนนั้นมาให้ก็เพื่ออยากให้เขาศึกษามันเพิ่มเติม เอริคจึงรับมาแล้วก็เปิดอ่านต่อหน้าทุกคน ก่อนจะถามขึ้นว่า “ภาพรวมของหนังเรื่อง The Others เป็นยังไงบ้าง? ”
โจนาธาน เดมี่และบิล การ์ล็อตมองหน้ากันและกัน ก่อนที่บิล การ์ล็อตจะตอบออกไปว่า ” พวกเราเตรียมการกันไปพอสมควรแล้ว ยังเหลือก็แต่การติดต่อคบค้าสมาคมกับคณะกรรมการบางท่านเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีการสัญญาใดๆก็ตาม แต่คณะกรรมเหล่านั้นก็ให้ความสนใจกับนั่งเรื่อง The Others ไม่ใช่น้อย และฉันจะติดต่อสื่อในพื้นที่ไว้ด้วย หลังจากที่หนังเปิดตัว ก็มีพวกเขาเหล่านี้แหละที่จะช่วยพวกเราโฆษณาประชาสัมพันธ์หนังเรื่องนี้”
“อื้อ” เอริคพยักหน้าด้วยความพอใจ จริงๆก็ใช้แค่งานเทศกาลหนังเวนิสนี้ในการเผยแพร่โฆษณาก็น่าจะเพียงพอแล้ว คิดไปคิดมา เอริคจึงถามขึ้นว่า ” แล้วรางวัลละ? ”
บิล การ์ล็อตจึงตอบว่า “รางวัลสิงโตทองคํานั้นเราก็ไม่ได้หวังกันอยู่แล้ว ขนาดหนังเรื่อง A City of Sadness ยังแทบจะเท่ากับศูนย์เลย พวกเราจึงหวังแค่รางวัลสิงโตเงินและรางวัลนักประ ฃพันธ์ยอดเยี่ยมก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อบิลพูดจบ โจนาธาน เดมีและคนอื่นๆอีกหลายคนก็เห็นด้วยกับเอริค คืนนี้เขาได้พบกับจอร์น แลนดิสหนึ่งในเจ้าภาพจัดงานนี้ ซึ่งฉันก็ต้องพูดถึงเรื่องนี้แน่นอน จอร์น แลนดิสเคยติดต่อคบค้าสมาคมกับบริษัท Disney มาก่อน และเขาได้รับปากแล้วว่าจะช่วยสนับสนุนหนังเรื่อง The Others อย่างเต็มที่ ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนอเมริกา อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนเก่าแก่คร่ําครีที่ยังยืนหยัดเพื่อศิลปะแบบเดิมๆ เขาเป็นผู้กํากับเชิงธุรกิจมาตั้งแต่ไหนแต่ไหนแล้ว จนกระทั้งเมื่อได้นัดหมายกันครั้งนี้ เอริคไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ยื่นข้อเสนอก่อน บางที่การจะเป็นเพราะจอร์นเองที่สนใจในตัวเอริค หรือบางทีอาจะเป็นเพราะโจนาธาน เดมี และ บิล การ์ล็อตสองคนนี้ที่คอยยุยงจอร์นก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามแต่หนังเรื่อง The Others ก็ยังมีผลประโยชน์ เอริคเองก็ไม่อยากสืบสาวราวเรื่องอะไรอีก เขาจึงรับปากอย่างตรงไปตรงมา
การเลือกของเอริคเท่ากับเป็นการเปิดทางให้จอร์น แลนดิสเป็นตัวแทนในการเข้าชิงรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง เหมือนกัน The Others อีกทั้งในหนังเรื่องนี้ก็ได้มีการเพิ่มมุขตลกของการต่อต้านสงครามใส่ลงไปด้วย ยังใงคณะกรรมการก็ต้องให้รางวัลอย่างแน่นอน เพราะเหตุนี้ทั้งสองคนจึงสามารถรับรางวัลได้แค่รางวัลเดียวเท่านั้น
เอริคหวังแค่ว่าตัวเองได้รับรางวัลบทประพันธ์หนังยอดเยี่ยม รางวัลนั้นก็มากเพียงพอแล้วสําหรับเอริค แต่เมื่อหวังให้หนังมีรายได้ทะลุบ็อกออฟฟิสละก็ แน่นอนว่าเขาคงต้องไปหวังรางวัลที่ใหญ่ขึ้นอย่างรางวัลสิงโตเงินอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องกังวล ผมรู้ว่าควรทํายังไง” เอริคมองไปยังใบหน้าของผู้ที่รอคอยคําตอบเบื้องหน้าแล้วตอบขึ้น