ตอนที่ 198 วางแผน
เมื่อประชุมเสร็จทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับ แต่เจฟฟรีย์ยังไม่ไปไหน เขายังคงนั่งกินมื้อเที่ยงอยู่บนโซฟาในห้องทํางานของเอริคเพื่อพูดคุยปัญหาบางอย่างกับเขา
“เอริค นอกเหนือจากหนังเรื่อง Running Out of Time แล้ว ต้นทุนหนังทั้งหมดของเราไม่มีเรื่องไหนเกิน 25 ล้านดอลลาห์เลย แล้วคุณไปรับปากว่าจะให้งบประมาณของหนังทั้งสองเรื่อง เป็นจํานวนเงินกว่า 50 ล้านดอลลาห์แก่คุณโรเบิร์ต เชียร์มันไม่มากเกินไปเหรอ? ”
เมื่อเอริคได้ยินคําถามนั้น สีหน้าขอเขาก็ดูตึงขึ้นมาทันที เอริคกินข้าวได้แค่ไม่กี่คําเท่านั้นแล้วก็เลื่อนกล่องข้าวไปไว้อีกด้านก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปาก “ฉันเองก็ไม่อยากทํา ฉันแค่อยากให้คุณโรเบิร์ต เชียร์ได้พยายามด้วยตัวเอง จึงจําเป็นต้องยื่นผลประโยชน์ให้เขาเห็นก่อน แค่ 50 ล้านดอลลาห์เอง ถึงแม้ว่าฉันจะให้สิทธิ์ททั้งหมดแก่โรเบิร์ต เชียร์ แต่ถ้าหากว่าหนังที่เขาเลือกมามันไม่ได้ผลตอบรับเท่าที่ควร ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เซ็นข้อตกลงนั้น”
ถ้าพูดถึงหนังของเอริคแล้วเจฟฟรีย์ก็คงไม่ต้องสงสัยอะไรอีก เมื่อได้ยินเอริคพูดอย่างนี้เขาก็วางใจ แต่ถ้าหากเราให้อํานาจในการตัดสินใจแก่คุณโรเบิร์ตมากเกินไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนักนะเอริค ”
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก ” เอริคที่กําลังเซ็นชื่อของตัวเองลงบนเอกสาร เขาดูเอกสารผ่านๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า ” รอฉันรวบรวมทุนทรัพย์ของบริษัท New Line Cinema ให้ได้ก่อน เมื่อบริษัท Firefly และบริษัท New Line Cinema รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรื่องพวกนี้ก็คงจะจัดการได้ไม่ยากแล้วละ “
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจของเจฟฟรีย์ก็เต้นแรงขึ้น เขาคิดในใจ เอริคคนนี้มีด้านมืดไม่ธรรมดาเลย จริงๆตอนนี้เขาชักเริ่มกลัวว่าโรเบิร์ต เชียร์จะถูกไล่ออก เพราะด้วยอํานาจที่มีอยู่ตอนนี้ของเอริค ถึงแม้ว่าโรเบิร์ต เชียร์จะมีหุ้นอยู่ 15% ของบริษัทก็ตาม แต่เอริคนั้นเป็นผู้ครอบครองทุกอย่างของบริษัท การที่จะปลดโรเบิร์ต เชียร์พ้นจากตําแหน่ง เพียงแค่เซ็นชื่อโดยไม่ต้องผ่านการะประชุมใดๆ ก็สามารถทําให้โรเบิร์ต เชียร์นั้นถูกไล่ออกได้แล้ว
เอริคหัวเราก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเจฟฟรีย์ “คุณคิดว่าฉันเป็นคนเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพลแบบนั้นเหรอ”
เจฟฟรีย์ยิ้มแก้เขิน ก่อนจะยอมรับว่า “ฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ”
“คุณก็รู้ คุณเจฟฟรีย์ว่าฉันไม่ใช่คนใจจืดใจดําแบบนั้น ถ้าคุณโรเบิร์ตทําหน้าที่ของเขาด้วยความซื่อสัตย์ ทําทุกอย่างได้ดีตามศักยภาพของตัวเอง ฉันสัญญาว่าจะไม่ทําแบบเดียวกับอาหารมื้อเที่ยงนี้แน่นอน แต่หน้าเสียดายที่เขามีความทะเยอทะยานมากไปหน่อย คุณก็เห็นที่เขาพาผู้บริหารเหล่านั้นมาร่วมประชุมครั้งนี้ด้วยก็เพื่อจะประกาศว่าเขาและผู้บริหารของเขามีความสําคัญมากกับบริษัทFirefly”
“ฉันกังวลอยู่เรื่องหนึ่ง” เมื่อเจฟฟรีย์ได้ยินสิ่งที่เอริคพูดเขาจึงพูดอีกว่า “คุณก็เห็นว่าเหล่าผู้บริหารที่มาวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนของโรเบิร์ต เชียร์ทั้งนั้น ถ้าคุณไลโรเบิร์ตออก เหล่าผู้บริหารเหล่านี้ก็ต้องออกไปพร้อมกับเขาใช่ไหม? ”
เอริคส่ายหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าคลายกังวลว่า “ถ้าบริษัท Firefly เติบโตขึ้นมา คุณคิดว่าคนที่อยู่ใต้คุณโรเบิร์ตเหล่านั้นจะยอมทิ้งเงินเดือนและเงินปันผลกว่า 10 ล้านต่อปีแล้วออกไป สร้างธุรกิจใหม่กับเขาอย่างนั้นเหรอ? หรือจะให้พูดอีกอย่างว่า บริษัทหนังยักษ์ใหญ่เหล่านั้นก็คงจะมีเวลาว่างมากที่จะร่วมมือกับพวกเขาอย่างนั้นเหรอ? ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าคุณโรเบิร์ตออกไปฉันก็แค่ต้องหาผู้จัดจําหน่ายคนใหม่ที่สมบูรณ์แบบเพิ่มมาอีกคนก็เท่านั้นเอง”
“แต่ว่า…”
เอริคพิจารณาคําพูดของเจฟฟรีย์
ก่อนจะพูดต่อว่า “คุณเจฟฟรีย์ จริงๆแล้วคุณไม่จําเป็นต้องกังวลมากขนาดนนี้ก็ได้ ที่ฉันเคยบอกคุณว่าฉันสามารถไล่คุณโรเบิร์ตออกได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าภายใน 1-2 ปีนี้ เขาอาจรู้จักจุดแข็งของตัวเองมากขึ้นแล้วไปให้ความสําคัญกับการจัดจําหน่ายก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันก็ไม่จําเป็นต้องมาจัดการเรื่องนนี้อีก เพราะความสามารถในการจัดจําหน่ายของเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอะไรอยู่แล้ว “
“ฉันเข้าใจแล้ว” เจฟฟรีย์พยักหน้าแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้งและเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ประตูห้องทํางานก็ถูกเปิดเข้ามาทันที เด็กสาวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอดูรซ์ วันนี้หล่อนใส่เพียง แค่เสื้อยืดสบายๆและกางเกงขาสั้นเท่านั้น เด็กสาวรีบโผขึ้นไปนั่งบนตักของเอริคทันทีก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง แล้วกระซิบข้างหูเอริคเพื่อถามถึงเรื่องเมื่อคืน
อลันที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูอดขําไม่ได้เมื่อเห็นภาพของเด็กสาวกับเอริคหยอกล้อกัน รอจนกระทั่งเอริคหันมาสนใจเขาด้วยตัวเองอลันจึงพูดขึ้นว่า “คุณเอริคครับ กระเป๋าและรถพร้อมแล้วครับ เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดฉันคิดว่าเราควรออกเดินทางตอนนี้เลย ”
“งั้นไปกันเถอะ” เอริคอุ้มเด็กสาวลงจากตัก “ช่วงที่ฉันไม่อยู่ช่วยทําตัวดีๆด้วยละ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกคุณเจฟฟรีย์ได้ อย่าก่อเรื่องเด็ดขาด”
“ชิ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ” เด็กสาวขวนเอริคด้วยความไม่พอใจ หล่อนชายตามองไปที่เอริคก่อนจะพูดขึ้นว่า “เอริค ฉันอยากไปเวนิสด้วย”
“ช่างเถอะ เธอทนไม่ได้หรอก” เอริคลูบหัวของเด็กสาวด้วยความอ่อนโยน ไม่รู้ช่วงนี้หล่อนคิดออะไรถึงได้ชอบโพกหัวน่ารักอย่างนี้ เอริคเองก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวเด็กสาวหลายครั้ง “ไฟล์ทจากฮอลลีวูดไปเวนิสใช้เวลานานกว่า 17 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็มีเปลี่ยนเครื่องด้วย”
ดูรซ์ยอมรับว่าคงทนไม่ไหวจริงๆ ให้หล่อนไปนั่งเฉยๆอยู่บนเครื่องบินตั้ง 17 ชั่วโมง ซึ่งเด็กสาวก็คงทนอยู่เฉยๆไม่ได้แน่ ดังนั้นหล่อนจึงไม่พูดออะไรอีก หล่อนเกาะแขนเอริคเดินออกไปส่งด้านนอก ก่อนจะพูดว่า” เอริค พวกเราซื้อเครื่องส่วนตัวกันดีไหม แบบนั้นต่อให้นั่งเครื่องบินนานแค่ไหนก็ไม่เบื่อแน่นอน”
“ไม่ใช่ตอนนี้” เอริคส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อว่า “รออีกสักปีสองปีนะ”
“อื้อ” ดูรซ์พยักหน้า เมื่อเดินลงมาถึงข้างล่างเด็กสาวก็เดินนําไปขึ้นรถทันที “ฉันจะไปส่งคุณที่สนามบิน”
“เอริค ฉันไม่ไปส่งคุณนะ ฉันยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ” เจฟฟรีย์ตบไหล่เอริค “เดินทางปลอด ภัยครับ”
” แล้วพบกันคุณเจฟฟรีย์” เอริคโบกมือลาเจฟฟรีย์ แล้วเข้าไปนั่งในรถฝั่งคนขับก็คืออลันที่ขี้นมาก่อนแล้ว เมื่ออลันเห็นเอริคและดูรซ์ขึ้นมานั่งเรียบร้อยก็ค่อยๆออกรถไป
อลันต้องไปเวนิสกับเอริคด้วย ซึ่งเดิมที่ต้องหาล่ามไปกับเอริคด้วยหนึ่งคน เพราะในเวนิสต้องใช้ภาษาอิตาลีในการสื่อสาร บังเอิญว่าแม่ของอลันเป็นคนอิตาลีอยู่แล้ว และตัวอลันเองก็เติบโตขี้นมาระหว่างสองประเทศคืออังกฤษกับอิตาลี ดังนั้นถ้าพูดถึงภาษาอิตาลีก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าอลันไปด้วยก็คงไม่ต้องวุ่นวายกับการหาล่ามอีก
และยังนับว่าโชคดีที่ระยะทางจากเบอร์แบงค์มาถึงสนามบินนานาชาติลอสแองเจลิสใช้เวลา เพียงแค่ 1 ชั่วโมง 10 นาทีเท่านั้น เมื่อถึงสนามบินพวกเขายังมีเวลาเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงถึงจะได้ทําการเช็คอิน
“อลัน กําลังหาอะไรอยู่เหรอ” ขณะที่กําลังรอเช็คอินอยู่นั้น เอริคเห็นอลันกําลังสํารวจกระเป๋าของตัวเอง เอริคแปลกใจจึงถามขึ้น
“หนังสือ ฉันเอานิยายของสตีเฟน คิงมาด้วยเล่มหนึ่งกะว่าจะอ่านบนเครื่อง เอริคคุณเอามาบ้างไหม? ”
เอริคโบกมือทันที ในชีวิตที่แล้วของเขามักจะใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งบนรถไฟคงไม่เหมาะที่จะอ่านหนังสืออยู่แล้ว แล้วยิ่งไม่เคยนั่งเครื่องบินเป็นเวลานานอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยคิดเรื่องนนี้ อีกอย่างกระเป๋าของเขาดูรซ์ก็เป็นคนจัดให้ด้วยนิสัยของหล่อนแล้วก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน
“เรายังพอมีเวลา ไปซื้อสักเล่มก็ได้นะ มีห้างสรรพสินค้าอยู่ด้านนอก” เอริคเสนอขึ้น
” ฉันไปเอง พวกคุณรออยู่ที่นี่แหละ ถ้าฉันกลับมาไม่ทันพวกคุณก็เช็คอินได้เลย”
เอริคกําลังจะพูดห้ามแต่เด็กสาวก็รีบวิ่งออกไปซะก่อน
ดูรซ์วิ่งออกมาด้านนอก ในขณะนั้นเอริคและอลันก็ได้ยินเสียประกาศเรียกเช็คอิน ทั้งสองคนมองหน้ากันตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอายังไงดี
“ไปกันเถอะ ยังไงก็ต้องเข้าแถวก่อนหล่อนน่าจะกลับมาทัน” เอริคพูดขึ้น อลันเองก็ไม่ได้คัดค้าน ทั้งสองคนจึงลากกระเป๋าตรงไปยังประตูเช็คอิน
10นาที่ผ่านไป เคาเตอร์เช็คอินก็เหลือเอริคกับอลันเพียงแค่สองคน ผู้โดยสารคนอื่นๆก็เข้าไปกันหมดแล้วพนักงานเช็คอินก็เริ่มเรียกทั้งสองคน เอริคหันไปมองด้านหลังอีกครั้งก็เห็นเงาของเด็กสาวที่กําลังวิ่งหน้าตาตื่นตรงมาทางพวกเขาสองคน แล้วส่งหนังสือหนาๆเล่มหนึ่งให้เอริคโดยไม่พูดอะไร หล่อนก้มลงด้วยความหอบก่อนจะโบกมือให้ทั้งสองเข้าไป
เอริครู้ว่าไม่จําเป็นต้องเกรงใจอะไรเด็กสาวมากนัก เขารีบยัดหนังสือลงกระเป๋าก่อนจะบอกลา แล้วลากกระเป๋าเข้าไปเช็กอินทันที
เสียงของเครื่องบินขนาดใหญ่ดังขึ้นพร้อมกับลอยตัวสูงจากพื้นดิน ผ่านไปสักพักใหญ่เริ่มกลับมาเสถียรเหมือนเดิม
ณ ชั้นโดยสารชั้นหนึ่ง เอริคถอดเข็มขัดออก อลันที่นั่งอยู่ข้างกายของเขาหยิบตารางขึ้นมาดูก่อนจะหันไปอธิบายให้เอริคฟังว่า
“เราจะไปเปลี่ยนเครื่องที่ลอนดอน พวกเราจะถึงเวนิสวันที่ 2 เดือนกันยายนเวลา บ่ายสามตามเวลาท้องถิ่น คุณเดมี่และคุณแมนเซดจะมารับพวกเราที่สนามบินนานาชาติมาร์โค โปโล ตอนค่ําคุณมีพบปะกับผู้กํากับจอห์น แลนดิส วันที่สามไม่มีกิจกรรมอะไร คุณสามารถพักผ่อนได้ 1 วัน วันที่ 4 คือวันเปิดงานเทศกาลหนังอย่างเป็นทางการ คณะกรรมการผู้จัดงานเชิญชวนคุณเข้าร่วมปาร์ตี้หลังงานเปิดตัวจบด้วย พวกเรามีบินกลับวันที่ 5 ตอนบ่าย เราจะถึงลอสแองเจลิส วันที่ 6 ตอนเวลา 5 โมงเช้าตามเวลาฝั่งตะวันออก เอริค คุณอยากเพิ่มเติมอะไรอีกไหม”
เอริคอดทนฟังจนจบแล้วส่ายหน้า “ไม่ละ เอาตามนี้แหละ”
ถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่เข้าร่วมงานเทศกาลหนังเวนิส ถึงแม้ว่าจะถูกจัดไว้แล้วก็ตาม แต่ดูจากตารางงานแล้วมันค่อนข้างแน่นมาก เขาจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าหลังจากรู้ว่าเอริคจะมาร่วมงานเทศกาลหนังของเวนิสด้วย บรรดาคณะกรรมการจัดงานก็รีบส่งบัตรเชิญ หวังให้เขามาร่วมพิธีเปิดงานนี้
เดิมทีเอริคเองก็ไม่ได้หวังว่าหนังเรื่อง THE OTHERS จะได้รับรางวัลเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเขาเองก็เป็นคนผลัดมันออกไปด้วยซ้ําแต่เมื่อดูจากกลยุทธ์ในการโฆษณานั้นแล้วเขากลับมีความหวังขี้นมาอีกครั้งว่าหนังเรื่อง THE OTHERS จะได้รับรางวัล ด้วยเหตุนี้เอริคจึงไม่ปฏิเสธ เพราะคําเชิญเหล่านั้นที่ส่งมาได้ลงนามประธานคณะกรรมการอย่าง อันเดร เดนนิเซอร์ ไว้ทุกฉบับ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจต่อแขกที่มาร่วมงาน เอริคไม่อยากทําให้อีกฝ่ายเสียหน้า จึงได้ซ่อนความลําบากใจไว้ภายใน งานเทศการหนังเวนิสนี้เทียบไม่ได้กับงานประกาศผลรางวัลออสก้าเลยแม้แต่น้อย คณะกรรมการที่มาร่วมงานออสก้ามีมากถึงพันคน แต่งานเทศกาลหนังเวนิสมีเพียงเก้าคนเท่านั้น ทุกคนจึงเข้าร่วมกันหารือเกี่ยวกับการมอบรางวัลนี้ครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุผลส่วนตัวของเขา การทําหนังเรื่อง THE OTHERS จะต้องไม่สู้เปล่า เอริคจึงสร้างสปิริตของเขาด้วยการมาร่วมงานครั้งนี้
เอริคถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่อยากคิดเรื่องน่าเบื่อแบบนี้อีก จึงหันไปหยิบหนังสือที่ดูรซ์ซื้อให้ขึ้นมา
เมื่อมองมันก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
หนังสือชื่อเรื่องว่า Walden
เด็กนั้นซื้อหนังสืออะไรมาเนี่ย ใครเขาอ่านบทประพันธ์กันบนเครื่องเนี่ย
ช่างเถอะ มันใช้สะกดจิตได้ดี
เขาคิดในใจขณะแกะพลาสติดที่ห่อหุ้มหนังสือนั้นออก