TXV –
เซี่ยเหล่ยรีบเดินทางกลับไปยังโรงงานผลิตอาวุธทันทีหลังจากที่เขาออกไปได้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่จากสถานกงสุลขับรถมาจอดอยู่หน้าตึกพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคน พวกเขามาด้วยรถหรูคันใหญ่สีดำ
ภายในรถสีดำคันหนึ่งอันซูฮยอนนั่งอยู่ภายในรถคันนั้นด้วยอารมณ์และท่าทีที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังโกรธแค้นอย่างมาก
นอกเหนือจากอันซูฮยอนแล้ว ภายในรถยังมีคนอื่นนั่งอยู่ด้วยอีกสองคน พวกเขาเป็นชาวเกาหลีเป็นผู้หญิงหนึ่งคน ผู้ชายหนึ่งคน พวกเขามีรูปร่างที่ดูกำยำและแข็งแรง คนที่เป็นผู้หญิงดูมีอายุแค่ประมาณยี่สิบปีเท่านั้นแถมรูปร่างและใบหน้าของเธอยังสวยจนดึงดูดสายตาของใครหลายๆให้มองแต่เธอได้เลย
ชายชาวเกาหลีที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นมีชื่อว่าชูคูรีส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ชื่อว่าคิมจียอน พวกเขาทั้งสองนี้มีหน้าที่ที่พิเศษมากกว่าบอดี้การ์ดทั่วไปหากจะให้เปรียบเทียบพวกเขาก็ทำหน้าที่เหมือนดงหวู่ ฉิงฉี๋ หรือแดนนี่ของตระกูลกู๋
เนื่องจากคราวนี้อันซูฮยอนโกรธและเคียดแค้นเซี่ยเหล่ยอย่างมากครั้งนี้เขาจึงพาชูคูรีและคิมจียอนมาด้วย
เมื่อมาถึงตึก พวกเขาก็ออกตามหาเซี่ยเหล่ยเมื่อรู้ว่าไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วและเขากำลังหนีกลับโรงงานผลิตอาวุธก็ทำให้อันซูฮยอนรีบตามไปทันที
เมื่อไปถึงโรงงานผล้ตอาวุธ บรรดาเจ้าหน้าที่กงสุลหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พากันตรงไปยังหน้าประตูโรงงานเพื่อขอความร่วมมือสำหรับจับกุมตัวเซี่ยเหล่ย
แต่ก็กินเวลาไปหลายนาทีที่ยังไม่สามารถเข้าไปภายในได้ ทำให้อันซูฮยอนที่นั่งรออยู่ภายในรถทนไม่ไหว จึงได้เปิดกระจกรถและตะคอกออกไปว่า “ไอบ้าเอ๊ยยย จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกัน แค่นี้ก็เข้าไม่ได้งั้นเหรอ? แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้ตัวเซี่ยเหล่ยมาซักทีหล่ะ?”
ดูเหมือนในความเป็นจริงคนบางคนก็ดูจะหยิ่งผยองจนเกินไปแม้ว่าจะอยู่ต่างถิ่นก็ตาม
แม้ว่าจะผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่สถานการณ์ตรงประตูทางเข้าโรงงานผลิตอาวุธก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าหน้าที่จากสถานกุงสุลยังไม่สามารถเข้าไปภายในได้
”ดูเหมือนจะไม่สามารถเข้าไปได้” ชูคูรีที่ก่อนหน้านี้เงียบขรึมพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น
”ไอ้หนุ่มคนนี้มันเหลี่ยมจัดจริงๆ” คิมจียอนพูดขึ้นเสียงของเธอดูเล็กและมีเสน่ห์แม้ว่าเธอจะพูดอย่างเยือกเย็นแต่น้ำเสียงของเธอก็ดูน่าสนใจอย่างมาก
จังหวะนี้อันซูฮยอนก็เปิดประตูรถออกและพูดขึ้นว่า “เราไปดูกันหน่อย ผมไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหน้าที่กงสุลของเราจะเข้าไปจับตัวมันไม่ได้!”
ชูคูรีและคิมจียอนที่ได้ยินอันซูฮยอนพูด พวกเขาก็หันมามองหน้ากันหนึ่งครั้งพร้อมเปิดประตูลงจากรถและเดินตรงไปยังทางเข้าโรงงานผลิตอาวุธ
คิ้วบนใบหน้าของอันซูฮยอนตอนนี้ย่นจนแทบจะติดกันอยู่แล้ว
ชูคูรีและคิมจียอนเดินตามหลังอันซูฮยอนขนาบด้านซ้ายและขวาด้วยรูปร่างและท่าทางในการเดินของพวกเขาช่วยเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับอันซูฮยอนได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ
”มันเกิดอะไรขึ้น?” อันซูฮยอนพูดด้วยอารมณ์โมโหและพูดต่ออีกว่า “ทำไมไม่ให้พวกเราเข้าไป?”
ทหารที่อยู่หน้าประตูโรงงานพูดอย่างจริงจังว่า “พวกคุณเป็นใคร? นี่คือโรงงานผลิตอาวุธของประเทศจีน มันมีความลับทางทหารมากมายถึงแม้ว่านี่จะเป็นความต้องการของเจ้าหน้าที่จากสถานกงสุลก็ตาม พวกคุณก็ไม่สามารถเข้ามาได้ หากว่ายังพูดไม่รู้เรื่อง เราก็จำเป็นจะต้องดำเนินการตามระเบียบของเรา”
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาด้วยกันกับอันซูฮยอนพูดว่า “อืม…เห็นหรือยัง ผมเคยบอกคุณไปก่อนหน้านี้แล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เราจะมาเบ่งอำนาจได้ แล้วจะได้เข้าไปหรอกนะ ผมว่าเราควรจะกลับกันก่อนดีกว่า ”
”กลับงั้นเหรอ? คนของเรา คนเกาหลี พลเมืองชาวเกาหลีถูกทำร้ายจะให้กลับไปมือเปล่าได้อย่างไร” เจ้าหน้าที่กงสุลได้พูดอย่างไม่พอใจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหาอันซูฮยอนและพูดจาเกลี้ยกล่อมอันซูฮยอนด้วยรอยยิ้มว่า “อืม…ผมว่าคุณควรจะกลับไปก่อนจริงๆนั้นแหละ สถานการณ์ในตอนนี้มันอยู่นอกเหนืออำนาจของพวกเรา”
”ผมจะบอกไว้ก่อนเลยว่าถึงแม้วันนี้เราจะไม่ได้ตัวเซี่ยเหล่ยแต่วันข้างหน้าผมจะยื่นคำร้องต่อกระทรวงต่างประเทศของจีน เรื่องมันจะไม่จบเพียงแค่นี้แน่!” อันซูฮยอนพูดด้วยความโกรธจัด
ในจังหวะนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดขับรถมายังประตูทางเข้าของโรงงานผลิตอาวุธ เธอมีชื่อที่ถูกเรียกโดยเหล่าคนงานว่า “เสือ” แน่นอนเธอคือฉิงเสวียง เมื่อคนอื่นเห็นเธอครั้งแรกก็ต้องคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงหรืออาจจะมากไปกว่านั้นเพราะรูปร่างท่าทางรวมไปถึงการแต่งตัวของเธอทำให้เธอดูเหมือนผู้หญิงอย่างมาก
”มีอะไรงั้นเหรอ?” ฉิงเสวียงหยุดรถตรงประตูทางเข้าและพูดขึ้นว่า “คนเหล่าเป็นใคร แล้วพวกเขาต้องการจะทำอะไร?”
ทหารตรงประตูคนหนึ่งได้เดินเข้าไปอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสั้นและกระทัดรัดให้เธอฟัง
หลังจากฟังเรื่องราวแล้ว ฉิงเสวียงขับรถเข้าไปจอดภายในโรงงานผลิตอาวุธ เธอลงจากรถและเดินไปหาอันซูฮยอนพร้อมพูดขึ้นสั้นๆว่า “ฉันคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ฉันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ก็แล้วกัน คุณต้องการเท่าไหร่ว่ามา? ”
”ไปให้พ้น!” อันซูฮยอนตะคอกด้วยความไม่พอใจและพูดต่อว่า “ผม….อันซูฮยอน คนอย่างผมจะต้องการค่ารักษาพยาบาลจากคุณไปทำไม? ไอ้โง่!”
”ไอโง่งั้นเหรอ?” พูดสวนกลับไปอย่างรวดเร็วและพูดต่ออีกว่า “ถ้างั้นก็กลับไปซะ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมายุ่มย่ามอยู่ที่นี่ในเวลานี้ นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมาเที่ยวเล่นทัศนศึกษาได้หรอกนะ”
เจ้าหน้าที่กงสุลของเกาหลีใต้พูดด้วยความโกรธกลับไปว่า “ให้เซี่ยเหล่ยออกมาเดี๋ยวนี้ไม่งั้นเราก็ไม่กลับและไม่ว่ายังไง…เรื่องนี้จะถึงกระทรวงต่างประเทศของคุณอย่างแน่นอน”
ฉิงเสวียงทำมือสะบัดออกไปนี่เป็นท่าทางที่แสดงให้เห็นว่ากำลังไล่พวกเขาให้ออกไป พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้าจะยื่นคำร้องและทำให้เป็นเรื่องใหญ่ระหว่างประเทศเพราะคนๆเดียวก็เชิญไปยื่นเลย จะไปยื่นที่สหประชาชาติด้วยก็ได้นะ”.Aileen-novel.
”คุณ …… ” เจ้าหน้าที่กงสุลของเกาหลีใต้ถึงกับพูดไม่ออก!
”คุณไปพาเขาออกมาเดี๋ยวนี้!” ชูคูรีชี้ไปที่ฉิงเสวียงพร้อมพูดอย่างเย็นชาเป็นภาษาเกาหลี
ฉิงเสวียงยิ้มและพูดขึ้นว่า “คุณพูดอะไรของคุณ ฉันไม่เข้าใจหรอกนะ”
”ถ้างั้นเรามาตกลงกันหน่อยดีกว่า” คิมจียอนพูดแทน น้ำเสียงและท่าทางของเธอที่ยิ้มไปด้วยในขณะที่กำลังพูด มันช่วยเพิ่มความสวยและความสง่าให้กับเธออย่างมาก
เมื่อรู้ว่าคิมจียอนต้องการจะเจรจา ฉิงเสวียงจึงได้เดินเข้าไปใกล้พวกเขามากขึ้น
”กลับมา” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้นพร้อมปรากฏตัวในชุดช่างเทคนิค
เมื่ออันซูฮยอนเห็นเซี่ยเหล่ย ดวงตาของเขาก็เหมือนมีไฟลุกอยู่ภายใน มันเป็นไฟที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ส่วนชูคูรีและคิมจียอนก็มองไปที่เซี่ยเหล่ยเป็นตาเดียวกัน พวกเขามองเพื่อต้องการจดจำรูปร่างและลักษณะของเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยเดินมาถึงประตูทางเข้าอย่างช้าๆพร้อมมองไปยังผู้คนที่อยู่ภายนอกประตูโรงงานหลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “อันซูฮยอน คุณพาคนพวกนี้มาทำอะไรกัน?”
”กูพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเรื่องนี้มันไม่จบแน่จนกว่ามึงจะได้รับการชดใช้ ” อันซูฮยอนตอบ
”ชดใช้ จะให้ชดใช้ยังไงหล่ะ?” เซี่ยเหล่ยถาม
”สิ่งที่กูต้องการ มันไม่ได้เกินความสามารถของมึงหรอกนะ” อันซูฮยอนพูด และพูดขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางเหยียดหยามว่า “คุกเข่าและขอโทษผมซะเดี๋ยวนี้!!”
”ถ้าไม่หล่ะ?” เซี่ยเหล่ยถาม
”ถ้าไม่ เรื่องนี้มันก็ยังไม่จบ ผมจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่จนคุณไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย” อันซูฮยอนพูด
”คุณหมายถึงการยื่นคำร้องงั้นเหรอ” เซี่ยเหล่ยยิ้มในขณะที่พูดและพูดต่อว่า “คุณสามารถไปได้เลยในตอนนี้ หากว่าคุณไม่รู้เส้นทางผมจะจัดทีมนำทางให้ไปส่งคุณให้ถึงที่เลย ต้องการมั้ย?”
จังหวะนี้อันซูฮยอนได้หันไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจและพูดด้วยความฉุนเฉียวว่า “นี่…คุณเป็นใคร? ผู้ต้องหาอยู่ตรงหน้าแล้วทำไมถึงไม่ไปจับตัวมา? ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจตอบกลับอันซูฮยอนไปว่า “ถ้าเขายังอยู่ข้างในยังไงเราก็จับตัวเขาไม่ได้”
”ทำไมหล่ะไอ้บ้า! นี่ยังเป็นตำรวจอยู่หรือเปล่า?” อันซูฮยอนพูดด้วยอารมณ์โมโห
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่รู้สึกไม่พอใจจึงได้เดินออกมาหน้าเขาและตอบอันซูฮยอนกลับไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจเช่นกันว่า “คุณนี่แกล้งโง่อยู่หรือเปล่า? คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? ทำไมเราต้องฟังที่คุณพูดด้วย! ”
”คุณ …… ” อันซูฮยอนโกรธจนถึงกับพูดไม่ออก
”หากเป็นกรณีปกติ เราคงควบคุมตัวเขามาสอบสวนได้แล้วแต่ที่นี่เราไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำนาจของเราแต่เอาเถอะ…ยังไงนี่ก็เป็นปัญหาของคุณ จัดการเอาเองก็แล้วกัน !” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดเสร็จก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว
แค่พริบตาเดียวก็เหลือเจ้าหน้าที่กุงสุลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่หน้าประตู
จังหวะนี้เซี่ยเหล่ยก็ยิ้มและพูดว่า “อันซูฮยอน ถ้าผมเป็นคุณหล่ะก็ ผมจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้เลยและเพราะเรื่องนี้คุณควรจะเรียนรู้และจดจำไว้ซะบ้างนะว่าอย่าทำอะไรเกินตัว”
”หึ…ฝากไว้ก่อน ระวังตัวไว้ให้ดี!” อันซูฮยอนพูดอย่างคนพ่ายแพ้หมดรูป
จังหวะนี้เจ้าหน้าที่กงสุลคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างอันซูฮยอนได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดเบอร์พร้อมกับโทรออก หลังจากนั้นก็มองไปที่เซี่ยเหล่ยและส่งสายตาไปบอกเป็นนัยๆว่ากำลังจะโทรเรียกไปหาใครซักคน
เซี่ยเหล่ยเห็นการกระทำดังกล่าวจึงได้ตอบกลับไปอย่างเรียบง่ายว่า “จะโทรไปยื่นคำร้องตอนนี้เลยงั้นเหรอ เอาเลย โทรไปบอกพวกนักข่าวด้วยเลยก็ได้ พวกเขาจะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องได้อย่างรวดเร็วแต่ก็คิดให้ดีหล่ะ ได้ยินว่าพวกคุณไม่ชอบให้มีข่าวนี่ แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องได้รับความสนใจจากสื่อทุกสื่อแน่ๆ และจะว่าไงดีหล่ะ…ถึงสุดท้ายแล้วผมจะโดนควบคุมตัวแต่คงไม่เกินยี่สิบชั่วโมงผมก็จะถูกปล่อยตัวอยู่ดี ดังนั้นจะทำอะไรก็ทำไป ผมเบื่อที่จะพูดแล้ว” เซี่ยเหล่ยพูดเสร็จก็หันหลังเดินกลับทันที
เมื่อเซี่ยเหล่ยหันหลังเดินกลับไปแล้ว ฉิงเสวียงเหมือนจะหันหลังเดินกลับไปด้วยเช่นกันแต่ก่อนที่เธอจะหันหลังกลับนั้น เธอก็ได้ชูนิ้วกลางให้กับอันซูฮยอนก่อนหนึ่งครั้ง
”ไอ้สารเลวเอ๊ยย!” อันซูฮยอนตะโกนออกพร้อมกับรีบพุ่งตัวไปหาฉิงเสวียงที่อยู่ภายในโรงงานอย่างรวดเร็ว
”หยุด!” ทหารยามหน้าประตูได้ตะโกนออกมาพร้อมยกปืนไรเฟิลขึ้นเล็งไปที่อันซูฮยอน
นั่นทำให้การพุ่งตัวของอันซูฮยอนต้องหยุดลง เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหลังจากโดนปืนเล็งอยู่
ในตอนแรกที่เขาพาเจ้าหน้าที่กงสุลพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนมานั้น เขาคิดว่าจะต้องจับและควบคุมตัวเซี่ยเหล่ยได้อย่างแน่นอนแต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดเพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่สามารถจับตัวเซี่ยเหล่ยได้แถมยังโดนดูถูกอีกต่างหาก……
เมื่อทำอะไรไม่ได้ อันซูฮยอนจึงได้แต่มองดูเซี่ยเหล่ยเดินหายไปจากสายตา
”ผมว่าตอนนี้เรากลับกันก่อนดีกว่า” ชูคูรีพูดขึ้นเป็นภาษาเกาหลีและพูดต่ออีกว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ถูกควบคุมและดูแลโดยทหาร ซึ่งตราบใดที่เขาไม่ออกมาเราก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเรารอให้เขาออกมาก่อนดีกว่าแล้วค่อยเริ่มแผน !”
อันซูฮยอนหันไปพูดกับชูคูรีว่า “กูต้องการให้มันตาย!”
คิมจียอนได้เดินไปใกล้กับอันซูฮยอนและกระซิบไปว่า “แน่นอน…ตามที่คุณต้องการ”
อันซูฮยอนหันไปมองที่ชูคูรีและคิมจียอนจากนั้นก็พูดว่า “งั้นตอนนี้เราก็กลับกันก่อน!”
ติดตามตอนต่อไป………..