ฟิลิปอดมองไปหาเย่เทียนด้วยความลนลานไม่ได้เลย. ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี.
เบื้องหลังของแครสซัสนั้นยิ่งใหญ่มาก เขาไม่ใช่คนที่ชาวบ้านอย่างฟิลิปจะรับมือได้.
“ลอร์ดซาตาน, ไม่นึกเลยนะว่าจะพบท่านที่นี่ ช่างบังเอิญจริงๆ….”
แครสซัสยิ้มให้เย่เทียนและทักทายเขาก่อน. สมแล้วที่เป็นแครสซัส! สายตาของเขายอดเยี่ยมจริงๆ, ความลนลานของฟิลิปเล็ดรอดตาเขาไปไม่ได้เลย.
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่านอีกครั้ง, ท่านลอร์ด. เมื่อวานนี้ข้าได้ไปชมงานแข่งที่ท่านจัดมันช่างเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ. พอมาคิดดูแล้วข้ายังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เลย…”
เย่เทียนยิ้มแล้วตอบไป, นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์.
“เป็นเกียรติของข้าที่ท่านลอร์ดซาตานจำได้เช่นกัน. เพราะท่านเองก็เป็นนักรบที่แข็งแกร่งเช่นกัน. ยิ่งไปกว่านั้นข้าขอขอบคุณท่านในนามของทั่วทั้งโรมัน ที่ช่วยเหลือเราจะวิกฤต….”
แครสซัสพูดกับเย่เทียนอย่างจริงใจ. เรื่องมันเริ่มกระจายไปในหมู่ของไพร่ไปจนถึงชนชั้นสูง ว่าออเรเลียได้ให้ลูกสาวนางแต่งกับเย่เทียนและไปบันทึกในสถาอย่างรวดเร็ว.
จริงๆเรื่องที่เย่เทียนช่วยชีวิตออเรเลียและซีซาร์อย่างกล้าหาญนั้นก็รู้ๆกันไปทั่วอยู่แล้ว.
แครสซัสจึงสงสัยในตัวเย่เทียน. เขาไม่เชื่อว่าออเรเลียจะให้ลูกสาวแต่งกับเย่เทียนเพียงเพราะเขาช่วยชีวิตไว้.
ตระกูลจูเลียสนั้นไม่ได้ใจดีเหมือนอย่างชนชั้นสูงตระกูลอื่น, ทั้งตระกูลจูเลียสและออเรเลียสค็อตตานั้น จะตัดสินใจอะไรก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลตัวเองก่อนเสมอ.
เหมือนกับ 20 กว่าปีก่อน ที่ตระกูลจูเลียสให้ลูกสาวแต่งงานกับไพร่นามว่า กาอิอุส มาเรียส, ชนชั้นสูงหลายตระกูลหัวเราะเย้ยหยันพวกเขาตอนนั้น. แต่ไม่นาน กาอิอุสก็ได้กลายเป็นคนที่ทำให้ทั้งสภาสั่นกลัว และในเวลาเดียวกัน สถานะของตระกูลจูเลียสก็ได้ดีขึ้นด้วยความช่วยเหลือของกาอิอุส มาเรียส.
ดังนั้นแครสซัสจึงรู้สึกว่าเย่เทียนน่าจะมีอะไรพิเศษและเขาก็รู้อย่างแน่ชัดแล้วเมื่อวาน.
ในตอนนี้เขามั่นใจว่าที่เย่เทียนชนะพนันไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วยแต่เป็นเพราะเขามองแผนการออก.
ในหัวเขานั้นได้ทำเย่เทียนเหมือนกับศัตรูไปแล้ว. แครสซัสมีความทะเยอทะยานมากและเขาไม่อยากมีอริกับใคร โดยเฉพาะเย่เทียนที่อ่อนกว่าเขา3ปี เขาน่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจในเรื่องการเมืองเลยทีเดียว.
“ขอบคุณสำหรับคำชม. ข้าเองก็ซาบซึ้งที่พระเป็นเจ้าได้ทำให้ข้าแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ท่านหญิงออเรเลียจำหน้าข้าได้. ข้าเป็นเกียรติมากจริงๆ, ขอบพระคุณพระเจ้าที่เมตตาและขอบคุณมหานครโรม.”
เย่เทียนพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงสุภาพ.
จริงๆแล้ว เขากลัวหมอนี่มาก. ฟิลิปใช้โอกาสตอนกลางดึกเพื่อพาวูฟเกิร์ลกลับมานี่พร้อมกรงเหล็ก. แต่ก็ยังถูกหมอนี่สังเกตุเห็นเข้า. นี่เขาเริ่มมีสายลับในโรมแล้วหรอ?
ถ้าเป็นงั้นล่ะก็ หมอนี่ก็น่ากลัวมาก.
ยิ่งไปกว่านั้น ความอยากรู้อยากเห็นของหมอนี่ก็แรงมากไม่ก็เซ้นส์ด้านธุรกิจของหมอนี่ทำงานดีเกิน.
“ก็จริงอยู่ที่เราควรจะขอบคุณพระเจ้า และมหานครโรมของเรา. จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าท่านจะสนใจที่ดินของแม็กซ์ ออลเรด, เศรษฐีคนนั้นรึ?”
แครสซัสถามเย่เทียนด้วยรอยยิ้มเบาๆ.
“ท่านตามข้ามาเหรอ?”
เย่เทียนหรี่ตาลงเล็กน้อยและถามแครสซัสอย่างสุขุม. แต่ในใจเขานั้นค่อนข้างช็อคที่หมอนี่กล้าตัดสินใจถามมา. ทำไมหมอนี่ถึงรู้เร็วขนาดนี้?
“ท่านซาตาน, ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจอะไรผิด. ขอทั้งโรมเป็นพยาน, ข้าเองก็สนใจที่ดินผืนนั้นเช่นกันและวันนี้ก็ได้ส่งคนไปหาข้อมูล แต่คนของข้าก็เห็นท่านกำลังสำรวจที่ดินนั้นอยู่, เพราะงั้นข้าเลยคิดว่าท่านเองก็สนใจในที่ดินผืนนั้นเช่นกัน…”
แครสซัสอธิบาย. ความจริงแล้วเมื่อวานเขาเอะใจเย่เทียนและสนใจในตัวเขามาก, ดังนั้นเขาเลยขอให้ชาวเมืองจับตาดูเย่เทียนไว้. และวันนี้คนของเขาก็บังเอิญไปเห็นเย่เทียนสำรวจที่ดินผืนนั้นเข้า เขาก็เลยเดาว่าเย่เทียนอยากจะซื้อที่ดินผืนนั้น.
ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจในที่ดินผืนนั้นหรอก แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงอยากให้เย่เทียนปริปากออกมาและเรียนรู้ ความเก่งกาจและวิธีการของเย่เทียน ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจจะแข่งขันกับเย่เทียน.
เพราะเย่เทียนมองแผนเขาออกเมื่อวานนี้ เขาเลยคิดว่าเย่เทียนเป็นเสมือนศัตรูและทนรอที่จะรู้จักเขาไม่ได้เลย.
โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าออเรเลียเข้าสภาไปเพื่อเย่เทียนวันนี้, เขาก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นขึ้นไปอีก.
“โอ้ ท่านพูดถูกแล้ว. ใช่แล้วล่ะ, ข้าอยากจะซื้อที่ดินผืนนั้น. ข้าไม่รู้ว่าท่านจะใจกว้างดั่งมหานครโรมันและแบ่งปันที่ดินผืนนี้ให้ข้าหรือไม่. ข้าคิดว่าพระเจ้าจะต้องอวยพรให้ท่านเพราะความเอื้ออารีแน่ๆ…”
เย่เทียนยิ้มถามด้วยความสุขุม. เขาจะไปเชื่อคำพูดที่แครสซัสเอ่ยออกมาได้ไงกันเล่า? เขารู้ว่าอาจจะถูกหมอนี่หมายหัวไว้แล้วแน่. เหตุผลก็คงเป็นเรื่องพนันเมื่อวานชัวๆ!
เย่เทียนไม่คิดมาก่อนเลยว่าหมอนี่จะไหวตัวเก่งและดันมาจับตามองเขาด้วยนี่.
“เหะเหะ….ไม่ได้หรอกครับ. ที่ดินผืนนั้นมีประโยชน์ต่อข้ามาก. ข้าเองก็อยากให้ท่านแบ่งปันมันให้ข้าเช่นกันนะ.”
หลังจากเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง แครสซัสก็ยิ้มตอบ.
ซาตานไม่ใช่คนง่ายๆเลยจริงๆ. พอหมอนี่รู้ว่าเขาอยากจะซื้อที่ดินผืนนี้, แทนที่จะยอมแพ้แต่เขากลับอยากจะให้แบ่งปันกัน. ไม่มีความขี้ขลาดหรือขี้ประจบในฐานะชนชั้นสูงหน้าใหม่เลย ไม่ใช่แม้แต่ความเป็นสุภาพบุรุษหรือความยิ่งยโสของชนชั้นสูงหน้าเก่าด้วย. เขาก็แค่ขอแครสซัสให้ยอมด้วยความ”หน้าด้าน”.
มีชนชั้นสูงที่ไหนจะหน้าด้านแบบนี้?
ยกเว้นเขา!
ดังนั้น, แครสซัสจึงคิดว่าเย่เทียนนั้นเป็นคนประเภทเดียวกับเขา.
“ส่วนใหญ่แล้ว ชนชั้นสูงจะไม่ชอบยุ่งเรื่องธุรกิจกันใช่ไหมล่ะ? ไม่งั้นก็อาจจะโดนดูถูกจากชนชั้นสูงผู้อื่นได้นะท่าน!”
เย่เทียนยิ้มและถามแครสซัส.
“ท่านก็เหมือนกันนี่? ท่านลอร์ดซาตานเอ๋ย, ท่านเองก็เป็นชนชั้นสูงแล้วนะ ท่านควรจะเปลี่ยนนิสัยได้แล้ว…”
แครสซัสพูดด้วยรอยยิ้มและประจักษ์แล้วว่าบัดนี้คู่ต่อสู้เขาได้เผยตัวออกมาแล้ว.
“ข้าจะเอาที่ดินผืนนั้นมาให้ได้!”
เย่เทียนมองมาหาแครสซัสแล้วพูดอย่างใจเย็น.
“ถ้าอย่างงั้นก็มาตัดสินกันด้วยวิธีของพวกเราเองเถอะ ท่านซาตาน…”
แครสซัสยิ้มด้วยความมั่นใจ.
“โอเค!”
เย่เทียนพูดอย่างสุขุม. เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีสงครามค้าขายในช่วงเริ่มต้นของแผนแบบนี้.
ชั้นไม่เหงาแล้วสินะ!
เย่เทียนถอนหายใจ. ในอนาคตที่จะถึงนี้, 2ใน3ยักษ์ใหญ่เริ่มจะต่อต้านเขาแล้ว.