*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
——————————————————————————————–
“ข้าว่าถึงเวลาที่พวกเราต้องกล่าวลาแล้ว…..!”
เย่เทียนเมินพวกชนชั้นสูงเสียงดังนั่นแล้วพูดกับออเรเลีย.
งานแต่งงานในคืนนี้มันก็โชกเลือดมากพอที่จะทำให้แครสซัสสิ้นหวังไปได้ซักพักหนึ่งแล้ว.
แต่ความรู้สึกเย็นชาก็แว่บขึ้นมาในตาของเขาตอนที่มองไปทางกลุ่มของมาโคเนียกับปอมปีย์. ดูเหมือนว่าปอมปีย์เป็นคนยุให้มาโคเนียมาท้าทายเขา.
แม้ว่าเขาจะดูหมิ่นยูเลีย แต่จริงๆแล้วเขาอยากจะฉีกหน้าเย่เทียน, ผู้ชายคนเดียวที่นั่งอยู่บนโต๊ะนั้นมากกว่า.
และเย่เทียนก็ไม่พูดมาก เขาบีบมาโคเนียให้คุกเข่าลงต่อหน้ายูเลียและทำเขาเสียหน้าไป.
ส่วนเรื่องผิดใจกันน่ะหรอ?
เย่เทียนไม่สนหรอก, เพราะยังไงพวกนี้ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาอยู่แล้ว.
“กลับงั้นหรอ? พระเจ้า, เราจะกลับยังไง, ใครจะรู้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดเลือดเย็นนั่นจะกระโดดมาโจมตีเราตอนไหน….”
พอได้ยินว่าพวกเขากำลังจะกลับ, ยูเลียก็ตอบโต้อย่างรุนแรง. ออเรเลียกับคุณหญิงฉินน่าเองก็ส่ายหัว.
“แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากศพและกลิ่นคาวเลือด, ข้าไม่คิดว่าพวกท่านอยากจะค้างแรมที่นี่หรอกนะ. อีกอย่างหนึ่ง, สัตว์ประหลาดนั่นมาเพื่อตัวเจ้าสาวแล้วมันก็ได้ไปแล้ว มันคงจะไม่วกกลับมาอีกแน่”
เย่เทียนพูดไม่ออกแต่ก็พยายามอธิบาย.
“ไม่….เว้นซะแต่ท่านจะไปส่งเรา!”
ยูเลียพูด.
“ใช่, มีแค่ทางนั้นแหละ!”
“ใช่แล้วซาตาน, ช่วยไปส่งพวกเราด้วยเถอะ!”
ท่านหญิงฉินน่าและออเรเลียเองก็พยักหน้าเห็นด้วย.
“นี่พวกท่านทุกคนมีทหารคุ้มกันอยู่ไม่ใช่หรอ? อีกอย่าง, หนึ่งในพวกท่านสามคนเนี่ยข้าจะต้องไปส่งใครก่อนล่ะ?”
เย่เทียนหมดหนทาง. ในอนาคต พวกเขาไม่ควรจะกลัวเวลาออกบ้าน ไม่งั้นแล้วมันก็จะเป็นความผิดของเขาเต็มๆเลย.
“ฮึ่ม, ทหารพวกนั้นน่ะถ้าสู้กับคนธรรมดามันก็ไหวอยู่หรอกแต่คงจะกลัวกันหัวหดถ้าเจอสัตว์ประหลาดนั่นแน่”
ยูเลียพูดดูหมิ่น.
“บ้านพวกเราไม่ได้ไปทางเดียวกันเลย, ฉะนั้นเราก็คงทำได้แค่รบกวนท่านแล้ว. ท่านไปส่งออเรเลียกับซีซาร์ก่อนแล้วเราก็ตามไปด้วย จากนั้นส่งยูเลียกลับบ้านแล้วสุดท้ายก็ไปส่งข้ากลับบ้าน. ตกลงมั๊ย?”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง, ท่านหญิงฉินน่าก็แนะ.
“เอาสิ, เพื่อเคช่า, ซาตาน, เจ้าต้องไปส่งข้ากับซีซาร์ให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยคืนนี้!”
ในฐานะแม่สะใภ้ของเย่เทียน, ออเรเลียตัดสินใจแล้วพูด.
“ถ้างั้น, เป็นเกียรติของข้าที่จะได้ส่งสตรีทรงเกียรติที่งดงามทั้งสามกลับบ้านครับ!”
เย่เทียนยิ้มแล้วตกลง.
“ไปเลย!”
ออเรเลียถอนหายใจด้วยความโล่งอก. เธอเดินออกประตูไปพร้อมกับความตกใจของชนชั้นสูงทุกคน, โดยไม่กล่าวลาแครสซัสเลย.
“พวกเขายังจะกล้ากลับอีกหรอ? พวกเขาไม่กลัวสัตว์ประหลาดมันมาลักพาตัวรึไงนะ?”
“ไปดีกว่าข้าว่า!”
“ฮึ่มในที่สุดก็มีคนกล้าเปิดซักที. ต่อให้สัตว์ประหลาดโผล่มาโจมตี พวกเขาก็จะถูกโจมตีก่อนแน่!”
เย่เทียนและหญิงทั้งสามทำให้พวกชนชั้นสูงกระซิบกัน, เยาะเย้ยและดีใจกัน.
รถม้าของทั้ง3คนค่อยๆหายไปในเงามืด.
คืนนี้มืดมากโดยเฉพาะในรถม้า.
ด้วยคำขอของออเรเลีย, เย่เทียนเข้าไปในรถม้าของเธอและซีซาร์ก่อน.
พื้นที่ในรถม้านั้นไม่ได้ใหญ่มาก มันใหญ่พอแค่2คนเท่านั้น. ฉะนั้นขนาดตัวมหึมาของเย่เทียนทำให้มันดูเบียดเสียดมาก.
เพื่อที่จะให้ซีซาร์กับออเรเลียรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น, เย่เทียนเลยเบียดเข้าไปตรงกลางทั้งคู่, มันทำให้ซีซาร์รู้สึกไม่สบายตัวมากๆและออเรเลียเองก็เช่นกันเพราะขนาดตัวที่ใหญ่โตของเย่เทียนกินที่มากๆ. แต่เย่เทียนกลับไม่รู้สึกอายเลย เขารู้สึกมีความสุขมากกว่า.
เย่เทียนสามารถได้กลิ่นหอมที่ออกมาจากตัวออเรเลียอย่างชัดเจน.
“ซีซาร์, เจ้าคิดอะไรอยู่? กลัวงั้นรึ?”
เพื่อที่จะทำให้บรรยากาศน่าอายนี่ดีขึ้นเย่เทียนจึงถามซีซาร์ที่นั่งเงียบอยู่.
“อาจารย์ครับ, ข้าคิดว่า, นักรบมนุษย์จะสามารถเอาชนะเจ้าสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งตัวนั้นได้หรือไม่?”
ซีซาร์พูดสิ่งที่คิดในใจออกมาและถามหาคำแนะนำจากเย่เทียน.
วันนี้เขารู้สึกช้อคมากๆกับพละกำลังมหาศาลของสาวหมาป่า.
“อั่ก, อาจารย์, ท่านเขกหัวข้าทำไม, คำถามข้ามันดูไร้สาระหรอครับ?”
ซีซาร์ร้องออกมาตอนที่เย่เทียนเขกหน้าผากเขาไป.
“เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าบอกเจ้าตลอดใช่มั้ยว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่ด้วยพละกำลัง แต่เป็นสติปัญญา! ลองคิดดูสิถ้าพวกทหารเตรียมธนูกับลูกศรมาเพียงพอ เจ้าไม่คิดหรอว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะถูกยิงน่ะ?”
เย่เทียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม.
“โอะ, ขออภัยครับอาจารย์! ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำ, ข้าเข้าใจแล้ว”
ตาของซาตานลุกโชนขึ้น.
“แต่ทว่า, พละกำลังของเราเองนั้นก็สำคัญมากเช่นกัน. นี่ก็เป็นจุดอ่อนอย่างนึงเช่นกัน ถ้าคนเราไม่มีพละกำลังมากพอ. แล้วก็จำไว้ด้วยนะ ความอ่อนแอคือบาปแรกของมนุษย์”
เย่เทียนพูดต่อเพราะซีซาร์นั้นแข็งแกร่งมากในประวัติศาสตร์แต่กลับถูกลอบสังหารในท้ายที่สุด.
“อ๊ะ….”
ในตอนนั้นเองรถม้าก็สะดุดเข้ากับหินทำให้รถกระตุก. ออเรเลียกรีดร้องออกมา, จากนั้นเย่เทียนก็รีบจับตัวเธอไว้แล้วเอียงตัวมาพิงข้างๆเธอ.
“อย่ากลัวไปเลยครับ. ก็แค่รถม้าสะดุดหินเท่านั้นเอง!”
เย่เทียนรีบพูด.
“อาจารย์ครับ, ข้าว่าท่านจับแม่ข้าไว้ดีกว่านะ, ข้าเกือบจะแบนไปเพราะท่านแล้ว”
เย่เทียนขยับตัวเองทำให้ซีซาร์รู้สึกนั่งสบายขึ้นแต่เขาก็บ่นออกมาอย่างเร็ว.
“เจ้าลูกบ้า! มาบอกให้แม่เดินเข้ากองไฟงั้นหรอ”
ออเรเลียด่าซีซาร์เบาๆ.
ในหัวเธอคิดกลับไปถึงตอนที่เธอกับไดอาน่าคุยกันเรื่องขนาดเห็ดของเย่เทียนและเธอก็รู้ตัวแล้วว่าไดอาน่าพูดถ่อมเรื่องขนาดจริงๆ.
เย่เทียนเลี่ยงคำพูดของซีซาร์แล้วพูดว่า “ซีซาร์, เจ้าควรจำไว้, ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับศัตรูในสงครามหรือการเมือง, จงอย่าคิดถึงแต่เรื่องใช้กำลังแต่ใช้ปัญญาของเจ้าเอาชนะพวกมันซะ! แต่ก็อย่าลืมว่าเจ้าต้องแข็งแกร่งพอ จะได้ไม่ต้องมาพะวงกับมารยาของศัตรู!”
“อาจารย์ครับ, ข้าจำเรื่องนั้นขึ้นใจไว้เสมอแต่คืนนี้ข้าประหม่ามาก…” ซีซาร์ตอบ.
“โอ้, อาจารย์ครับ, ถ้าท่านเจอเจ้าตัวนั้นเข้า ท่านจะเอาชนะมันด้วยวิชาดาบได้หรือไม่?” ซีซาร์ถามเย่เทียนด้วยความสงสัย.
“แน่นอน! พละกำลังของข้าสามารถสู้กับมันได้อย่างสูสี, ฉะนั้นเจ้าต้องกินให้เยอะๆ ฝึกฝนให้เยอะๆ. นอกจากปัญญาแล้ว ร่างกายเองก็เป็นพื้นฐานของวิชาดาบเลยนะ” เย่เทียนพูดอย่างภาคภูมิ.