ตอนที่ 57 ปัญหาของผู้พิพากษา
ปีใหม่กำลังใกล้เข้ามาทำให้มีผู้คนออกมาเดินอยู่ตามถนนมากยิ่งขึ้น แม้ว่าโลกในตอนนี้จะตกอยู่ในความวุ่นวายแต่สำหรับเหล่าพ่อค้าแล้วนี่คือโอกาสในการกอบโกยผลกำไร เป็นเรื่องปกติที่ช่วงปีใหม่จะทำให้พวกเขามีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น
เซี่ยเจิ้งและเซี่ยเหมี่ยวกำลังขี่ม้า คราวนี้พวกเขาไม่ได้ทำการสืบสวนคดีแต่เป็นการเทียบเชิญใครคนหนึ่ง
เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฟุเนียวครั้งที่แล้วไม่ว่าเซี่ยเจิ้งหรือเซี่ยเหมี่ยวต่างได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงกันทั้งคู่และทำให้พวกเขาได้รับรู้ว่าโลกใบนี้มีความซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิด สิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่จริง
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้ปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเผิงปม้แต่น้อยและบอกความจริงกับผู้พิพากษามณฑลไปทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้แต่อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากเผิงซ่งหลายได้อยู่ดี
หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นของตระกูลเผิงแล้วผู้พิพากษามณฑลก็ไม่พูดอะไรมากนัก มีเพียงสี่คำเท่านั้นที่เขาเอ่ยปากพูดออกมา น่าทึ่งเหลือเกิน
แต่เซี่ยเจิ้งและเซี่ยเหมี่ยวไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากผ่านมากว่า 2 เดือนแล้วผู้พิพากษามณฑลอยากจะพบตัวนักพรตเต๋าคนนั้น พวกเขาจึงต้องมาเชิญนักพรตเต๋าคนนั้นเพื่อให้มาเข้าพบผู้พิพากษามณฑล
มณฑลหลินอานตั้งอยู่ตำแหน่งที่สำคัญทอดตัวจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ หากมองในมุมมองทางการทหารที่นี่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
กูเหยาเซิน เป็นผู้พิพากษาของมณฑลหลินอานซึ่งเป็นลูกเขยคนโตของเผิงซ่งหลาย นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเขาก็ไม่ได้กระตือรือร้นในการทำงานมากนัก แต่แม้กระนั้นชื่อเสียงและอำนาจของเขาก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งมณฑล หนึ่งในสามของเจ้าหน้าที่ภายในมณฑลต้องก้มหัวให้กับเขาและมักมีพ่อค้าหลายคนคุกเข่าต่อหน้าประตูศาลพิพากษาตลอดทั้งคืนเพื่อรอพบเขา
ผู้พิพากษากูมีใบหน้าที่สง่างามและอ่อนโยนแต่วิธีการที่เขาใช้กลับเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นเขาก็ยังสามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ดูสุขุมเยือกเย็นไว้อยู่เสมอ และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ซูจงซานเลือกที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคนแบบนี้
แต่เมื่อไม่นานมานี้ผู้พิพากษากูผู้ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับปัญหามาโดยตลอดก็ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักด้วยเช่นกัน ตระกูลที่มั่งคั่งเจ็ดตระกูลภายในเมืองถูกขโมยของพร้อมกันในชั่วข้ามคืน แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือไม่มีร่องรอยใดๆหลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุเลย สมบัติต่างๆที่ถูกขโมยไปก็เหมือนกับว่าหายไปในอากาศและทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปลกประหลาดไปหมด
ถ้าเพียงหนึ่งหรือสองตระกูล ด้วยอำนาจของกูเหยาเซินก็สามารถคลี่คลายคดีได้ แต่คราวนี้มีตระกูลที่มั่งคั่งมากมายที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้และพวกเขาไม่ได้เป็นตระกูลที่อ่อนแอเลย ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ภายใต้เขตการปกครองของเขาทั้งสิ้นดังนั้นหน้าที่ในการจับตัวคนร้ายจึงตกอยู่ที่เขา
ในขณะที่กำลังพิจารณาคดี จู่ๆผู้พิพากษามณฑลกูก็นึกถึงชายแปลกๆที่อาศัยอยู่บนภูเขาฟุเนียว ในความเป็นจริงหลังจากเหตุการณ์นั้นเผิงซ่งหลายก็ส่งลูกสาวคนเล็กของเขา เผิงมี่ ให้มาพักที่นี่ชั่วคราว เพื่อให้พี่น้องได้อยู่ด้วยกันและให้เผิงมี่ออกห่างจากสถานที่น่าเศร้า
เมื่อเทียบกับการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของเซี่ยเจิ้งแล้ว เผิงมี่สามารถเล่าได้ละเอียดกว่ามากจึงทำให้กูเหยาเซินเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดมาก แม้แต่เซี่ยเจิ้งและหลานชายของเขาก็ไม่สามารถค้นหาความจริงในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นกูเหยาเซินจึงนึกถึงมู่อี้เพราะจากคำพูดของน้องสะใภ้ที่พูดมานั้นมู่อี้ไม่ต่างจากเทพเจ้าคนหนึ่งเลย
กูเหยาเซินไม่รู้สึกกังวลเลยว่าเขาจะสามารถเชิญมู่อี้มาได้หรือไม่ เพราะเขาเป็นถึงผู้พิพากษาของมณฑลนี้จึงเชื่อว่ามู่อี้จะต้องมาเพื่อเห็นแก่หน้าเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นงานนี้จึงตกอยู่กับเซี่ยเจิ้งซึ่งมีความคุ้นเคยกับมู่อี้ แต่เขาไม่รู้เลยว่าในวันนั้นลุงและหลานตระกูลเซี่ยต้องรู้สึกทุกข์ทรมานไปตลอดทาง พวกเขาไม่ใช่ผู้หญิงอย่างเผิงมี่หรือกูเหยาเซินที่มีอำนาจแต่เป็นเพียงคนที่ขยันศึกษาเล่าเรียนจนสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ได้
สำหรับมู่อี้ พวกเขารู้สึกกลัวตามสัญชาตญาณและรู้สึกได้ถึงความเกรงขามและพลังอันลึกลับของเด็กหนุ่มคนนี้
แม้ว่าผู้พิพากษากูจะบอกว่าเป็นเรื่องง่าย แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าการเชิญมู่อี้ลงจากภูเขาจะเป็นเรื่องง่าย ครั้งที่แล้วเป็นเพราะตระกูลซูออกหน้ามู่อี้จึงยอมลงจากภูเขาและพวกเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะมีอิทธิพลต่อมู่อี้ขนาดนั้น
ถ้าเป็นคนธรรมดาพวกเขาก็คงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขาเชื่อว่าคนพิเศษเช่นมู่อี้คงไม่สนใจคำสั่งเหล่านี้และอาจจะทำให้มู่อี้รู้สึกรำคาญด้วยซ้ำ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพามู่อี้ไปที่มณฑลหลินอาน
ดังนั้นยิ่งพวกเขาเข้าใกล้กับภูเขาฟุเนียวมากเท่าไหร่ความกดดันที่พวกเขารู้สึกก็หนักมากขึ้นเท่านั้น
“ลุงสาม พวกเราจะทำอย่างไรดีหากเขาปฏิเสธ?” ในขณะที่หยุดพักระหว่างทางเซี่ยเหมี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะถามลุงสามของเขา
เซี่ยเจิ้งเหลียวมองหลานชายของเขาแล้วพูดว่า “แล้วข้าจะทำอะไรได้อีก? ก็แค่กลับไปรายงานตัวกับท่านผู้พิพากษาอย่างมีชีวิต”
“แต่ … ” เซี่ยเหมี่ยวอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ถูกขัดจังหวะด้วยสายตาของเซี่ยเจิ้ง
“ถ้าทำให้ท่านผู้พิพากษาไม่พอใจอย่างมากก็แค่ถูกปรับเงินเท่านั้น เพราะลุงของเจ้าได้ทำงานกับท่านผู้พิพากษาเป็นเวลานานคงไม่ได้รับการลงโทษที่หนักหนาหรอก เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็แค่ทำตามคำสั่งไปแต่อย่าทำให้ท่านนักพรตบนภูเขาฟุเนียวไม่พอใจก็พอแล้ว ฮ่าฮ่า” เซี่ยเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มและมีสีหน้าที่ไม่สามารถอธิบายได้
“หากทำให้ท่านนักพรตบนภูเขาฟุเนียวขุ่นเคืองเราทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่าจะตายอย่างไร” เซี่ยเจิ้งเอ่ยคำพูดสุดท้ายในใจของเขาและไม่ได้บอกเซี่ยเหมี่ยว เหตุผลหลักคือหลานชายของเขายังเด็กเกินไป หากมีบางสิ่งในใจเขาก็ต้องเก็บมันเอาไว้ดีกว่าทำให้หลานชายสับสน
เซี่ยเหมี่ยวมองไปที่ลุงสามของเขา แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินในคืนนั้นปากของเขาก็ปิดสนิทในทันที เมื่อไม่ได้อยู่ในการสอบสวนคดีเขาก็เป็นเพียงแค่คนโง่คนนึงเท่านั้น
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี?” เซี่ยเหมี่ยวถาม
“ทำอย่างไร? พวกเราก็แค่ถ่ายทอดคำพูดของท่านผู้พิพากษา สำหรับผลการตัดสินใจมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราเลย” เซี่ยเจิ้งพูดตรงไปตรงมา
เมื่อจบบทสนทนาทั้งสองก็ออกเดินทางอีกครั้ง ม้าสองตัววิ่งอย่างรวดเร็วไปตามถนนซึ่งดึงดูดสายตาที่ไม่พอใจของหลายๆคน แต่เมื่อคนเหล่านั้นเห็นเครื่องแบบของพวกเขาก็ทำได้แค่เพียงสาปแช่งอยู่ในใจของตนเองเท่านั้น
ก่อนเที่ยงลุงหลานตระกูลเซี่ยปีนขึ้นไปบนภูเขา ในตอนนี้มู่อี้กำลังปรุงยาเพื่อบำรุงร่างกายของเขาอยู่ที่หน้าประตูวัด ตอนนี้ร่างกายของเขาราวกับว่าเป็นหลุมลึกไร้ก้นบึ้งที่ไม่อาจเติมเต็มได้
เมื่อได้เห็นลุงหลานตระกูลเซี่ยมู่อี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เพราะอีกฝ่ายขึ้นมาถึงบนภูเขาแล้วมู่อี้จึงไม่ได้ไล่พวกเขาออกไปทันทีและตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาต้องการจะบอก
“ไม่ได้พบกันนาน ท่านนักพรตเต๋าดูราวกับเป็นเทพบนสวรรค์เลยนะขอรับ” เซี่ยเจิ้งอ้าปากพูด
มู่อี้ยิ้มอย่างลับๆตอนนี้เขาไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเทพองค์ไหนที่ต้องนั่งเบียดกับประตูเพื่อปรุงยาของตนเองกัน? เพราะเมื่ออาศัยอยู่บนภูเขาเขามักจะสวมแค่เสื้อคลุมสีขาวแบบสบายๆ ไม่มีผ้าพันคอสี่เหลี่ยมหรือหมวกบนศีรษะ และรวบผมไว้ด้านหลัง
แม้ว่าจะไม่ได้ดูสุภาพเรียบร้อยแต่ก็ไม่ได้ดูน่าเคารพนับถือเหมือนก่อนหน้านี้
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเซี่ยเหมี่ยวที่ยืนอยู่ข้างๆเขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเหมี่ยวไม่สามารถยอมรับได้ที่ลุงสามของเขายกยอมู่อี้อย่างมาก
“พวกท่านมาหาข้าถึงที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าขอรับ?” มู่อี้ถามโดยตรง
“ข้าและหลานชายได้รับคำสั่งจากท่านผู้พิพากษาให้มาเชิญท่านนักพรตเต๋าไปเข้าพบที่มณฑลหลินอาน” เซี่ยเจิ้งพูดตรงไปตรงมา
“ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของท่านผู้พิพากษา แต่ข้าไม่มีความคิดที่จะลงเขาในเร็วๆนี้” มู่อี้ปฏิเสธโดยไม่คิด แม้ว่าเขาจะไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญเขาถ้าไม่เกิดปัญหาบางอย่างขึ้น
ครั้งที่แล้วที่มู่อี้ไปช่วยเผิงซ่งหลายเป็นเพราะซูจงซานช่วยออกหน้า แต่ครั้งนี้เขาต้องให้ความเคารพต่อผู้พิพากษาของมณฑลด้วยหรือไง?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เลย ตั้งแต่ก่อนหน้ามู่อี้ก็ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกอะไรมากนักเพราะในอดีตเขาและท่านปู่ใช้โลกทั้งใบเป็นเหมือนบ้าน ในตอนนี้ถ้าเขาไม่ไปอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้?
ในช่วงเวลาที่ผ่านมามู่อี้ยังคงฝึกฝนการวาดยันต์สายฟ้าอย่างสม่ำเสมอและในตอนนี้เขามียันต์สายฟ้าติดตัวอยู่สามแผ่น เขาไม่กล้าพูดว่าตนเองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าหากผู้พิพากษามณฑลต้องการทำให้เขาแสดงความเคารพอีกฝ่ายก็ต้องพยายามมากหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังต้องการความช่วยเหลือจากเขา