ตอนที่ 85 เส้นตาย
มู่อี้ดูแลและคุ้มกันซูจินหลุนตลอดการเดินทางกลับเข้ามาในเมือง แต่เขาก็พบว่าซูจงซานก็มาที่เมืองนี้ด้วยเช่นกัน นั่นทำให้มู่อี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดว่าซูจงซานจะไม่ยื่นมือมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้และปล่อยให้มู่อี้เป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่าง
แต่แม้ว่าซูจงซานจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แต่มู่อี้ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเชื่อใจเขาอย่างเต็มร้อย มนุษย์ทุกๆคนในโลกใบนี้ย่อมมีความคิดเป็นของตัวเองทั้งสิ้น บางสิ่งบางอย่างปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่ต้องคิดมากเกินไปจะดีที่สุด
หลังจากได้พบเจอกับมู่อี้ ซูจงซานก็ได้มอบของขวัญให้กับมู่อี้และทักทายเขาด้วยความเคารพ ของขวัญชิ้นนี้มู่อี้ไม่ได้ปฏิเสธและรับมาอย่างเต็มใจ
จากนั้นซูจงซานก็มองมาที่ซูจินหลุนพร้อมกับพูดว่า “คุกเข่าลง! ถอดเสื้อของเจ้าออกซะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูจงซานที่ดูปราศจากอารมณ์ใดๆ ซูจินหลุนก็สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยแต่เขาก็รีบคุกเข่าลงทันทีจากนั้นก็ถอดเสื้อของตนเองออกเผยให้เห็นแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า
ซูจงซานรับไม้หวายท่อนใหญ่มาจากลูกน้องของตนเองจากนั้นก็เดินไปที่ด้านหลังของซูจินหลุนและฟาดลงไปที่แผ่นหลังของเขาทันที
“เผี๊ยะ!”
ตอนนี้ซูจงซานปราศจากความเมตตาใดๆ ซูจินหลุนที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาเริ่มแดงคล้ำขึ้นมาและหน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อเป็นจำนวนมาก จากนั้นรอยเลือดที่เป็นแนวยาวก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเขา
“เผี๊ยะ!”
ซูจงซานยกแขนของเขาขึ้นมาอีกครั้งและจากนั้นแผ่นหลังของซูจินหลุนก็มีรอยเลือดเพิ่มขึ้นมาอีกรอยหนึ่ง
“เผี๊ยะ!”
เมื่อครั้งที่ 3 ผ่านไปร่างกายของซูจินหลุนก็มีอาการสั่นอย่างรุนแรงและบนแผ่นหลังของเขาก็มีรอยเลือดอยู่ถึง 3 รอย แต่ซูจินหลุนก็ถือว่าเป็นคนที่ใจแข็งมาก เขาไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียวเพียงแค่กัดฟันของตนเองเอาไว้เท่านั้น
ความเจ็บปวดมากแค่ไหนนั้นดูจากร่างกายที่มีอาการสั่นของเขากับเหงื่อมากมายที่อยู่บนหน้าผากในตอนนี้ก็พอจะทราบได้
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำไมข้าถึงตีเจ้า?” ซูจงซานเก็บไม้หวายกลับไปและเอ่ยปากถามทันที
“หลานทราบดีขอรับ” ซูจินหลุนตอบกลับมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“ข้าเตือนเจ้าย้ำแล้วย้ำอีกก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่ว่าจงฟังสิ่งที่ท่านนักพรตบอกกล่าวทุกๆอย่าง เจ้าไม่เข้าใจเลยหรือไง?” ซูจงซานถามต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ” ซูจินหลุนตอบกลับมา
“เผี๊ยะ!”
เมื่อได้รับคำตอบกลับมาสีหน้าของซูจงซานก็ดูโกรธขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มู่อี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของซูจินหลุนกำลังสั่นอยู่ตลอดเวลา การถูกตีด้วยไม้หวายอย่างรุนแรงเช่นนี้เจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกมีดกรีดบนผิวหนังเสียอีก
แต่การลงโทษด้วยวิธีนี้นั้นบาดแผลสามารถรักษาให้หายดีได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้ววิธีนี้จะใช้ลงโทษพวกนักโทษหรือเชลยเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นยากที่จะอธิบายได้
“เจ้าประมาทและคิดว่าตนเองเก่งกาจเหนือผู้ใด เจ้าลืมที่ข้าสอนเจ้าไปหมดหรือยังไง?” ซูจงซานถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ” ซูจินหลุนส่ายศีรษะทันที
เมื่อเห็นว่าซูจงซานกำลังจะฟาดลงมาอีกครั้ง มู่อี้ก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “ท่านผู้อาวุโสซู ข้าเชื่อว่าจินหลุนไม่ได้หมายความเช่นนั้น ครั้งนี้ท่านลดโทษให้เขาบ้างเถอะขอรับ”
การลงโทษครั้งนี้คงจะจบลงแล้ว ซูจินหลุนถูกลงโทษ มู่อี้ออกหน้าด้วยตนเอง และซูจงซานก็ย่อมเห็นแก่คำพูดของมู่อี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะจบลงได้ด้วยดี มีเพียงแค่ซูจินหลุนที่ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เท่านั้นแต่นี่ก็ไม่ใช่การลงโทษครั้งที่แย่ที่สุดที่เขาโดน
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อี้ ซูจงซานก็ทำได้เพียงหยุดมือและส่งไม้หวายในมือของเขาให้กับลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆและพูดกับซูจินหลุน “เจ้ายังไม่ขอบคุณท่านนักพรตเต๋าสำหรับความเมตตาอีกหรือไง?”
“ขอบคุณมากขอรับ ท่านนักพรตเต๋า” ซูจินหลุนคุกเข่าทำความเคารพมู่อี้
ในเวลาเดียวกันซูจงซานก็พูดขึ้นมาว่า “ครั้งนี้คงสร้างปัญหาให้กับท่านนักพรตเต๋าไม่น้อยเลย”
“ท่านทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ขอรับ นี่คือเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วมันไม่ใช่เพราะท่านจินหลุนที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ถ้าหากจะโทษก็ต้องโทษเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ท่านตัดหญ้าไม่ถอนราก ดังนั้นจึงมีปัญหาที่หลงเหลือเอาไว้มากมายขอรับ” ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เข้าใจสิ่งที่ท่านปู่ของตนเองได้สอนสั่งเอาไว้อย่างชัดเจน
ไม่ว่ายังไงก็ปล่อยให้หลีหู่รอดไปไม่ได้ แม้ว่าหลีหู่จะเป็นแค่คนธรรมดาและไม่ได้มีภัยคุกคามต่อเขาเลย แต่ใครจะรู้กันว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร? ความผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นในอนาคตเขาคงโทษได้เพียงความโง่ของตนเองเท่านั้น
ในตอนนี้ความคิดของมู่อี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหนึ่งแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะดีหรือร้ายนั้นมันยากที่จะบอกได้ แต่อย่างน้อยที่สุดมู่อี้ก็ได้กลายเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นและการกระทำของเขาก็เหมือนจะใช้ความคิดมากยิ่งขึ้น
“ถ้าจะพูดก็ต้องพูดว่าปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะตระกูลซูของข้า เพราะตระกูลซูของข้าไม่มีความรับผิดชอบ หลังจากนี้ให้ข้าได้ดูแลเรื่องนี้ต่อเถอะและเมื่อจบปัญหานี้ชายชราผู้นี้สัญญาว่าจะตอบแทนท่านนักพรตเต๋าอย่างแน่นอน” ซูจงซานรีบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่เป็นไรขอรับ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ข้าจะจัดการด้วยตนเอง ในเมื่อมันเริ่มต้นไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาหยุดครึ่งทาง” มู่อี้พูดออกมาตรงๆ ไม่รู้ว่าทำไมความคิดนี้ปรากฏขึ้นในสมองของเขาทันที
เขายังไม่รู้ว่าในตอนที่เขาจะขึ้นไปยังภูเขาเสี่ยวหานอีกครั้งหนึ่งนั้น สถานการณ์ของที่นั่นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงและชิวเยวี่ยถงนั้นจะเลือกทางออกแบบไหนกัน?
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อี้ ซูจงซานก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใดเพราะเขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าไม่ว่ามู่อี้จะทำอะไรนั้นตระกูลซูก็เลือกที่จะสนับสนุนและยืนเคียงข้างมู่อี้อย่างแน่นอน
เมื่อเวลาผ่านไปบรรยากาศในภูเขาเสี่ยวหานนั้นก็เริ่มรู้สึกกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ
2 วันที่ผ่านมาชิวเยวี่ยถงยังไม่ได้ปรากฏตัวเลยและเรื่องทุกๆอย่างในตอนนี้ต่างก็เป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่เป็นผู้ดูแลเท่านั้น ส่วนหลีหู่นั้น 2 วันที่ผ่านมาเขาเงียบมาโดยตลอดไม่ได้เสนอความคิดเห็นใดๆเลยราวกับว่าเขารู้ดีว่าตนเองคือคนผิด
เส้นตายที่มู่อี้มอบให้นั้นเหลือเพียงแค่วันสุดท้ายเท่านั้นและคนมากมายต่างก็รู้สึกกังวล ไม่มีใครรู้ว่าคำพูดที่มู่อี้ทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องหลอกลวงหรือไม่ แม้แต่ชิวเยวี่ยถงก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วใครจะสามารถเอาชนะมู่อี้ได้?
หรือว่าพวกเขาต้องส่งมอบตัวหลีหู่ให้อีกฝ่ายจริงๆ? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วในอนาคตกลุ่มโจรภูเขาเสี่ยวหานของพวกเขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอื่นๆหรอกหรอ
แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ทำแบบนั้นพวกเขาก็ต้องตาย ยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่?
ในตอนนี้ชิวเยวี่ยถงที่ทุกๆคนคิดว่านางกำลังบาดเจ็บกำลังยืนอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่งภายในสวน มันเป็นต้นสนที่ตั้งตรงอย่างงดงามสูงประมาณ 1 เมตร ต้นสนต้นนี้เต็มไปด้วยลูกสนมากมายและแม้ว่าจะอยู่ในฤดูหนาวแต่ใบของมันก็ยังคงเขียวขจีอยู่
ชิวเยวี่ยถงยืนอยู่ด้านหน้าต้นสนและปิดตาลงและดาบยาวที่ยังคงอยู่ในฝักก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้านางทันที
ดาบยาวเล่มนี้คล้ายคลึงกับต้นสนที่อยู่ตรงหน้านางมาก มันดูธรรมดา เรียบง่าย ปราศจากการตกแต่งที่งดงามใดๆ
ชิวจูที่ยืนอยู่ข้างๆมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล สายตาของนางจ้องมองไปที่ชิวเยวี่ยถงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในตอนนี้ ตลอดทั้งวันที่ผ่านมานี้เจ้านายของนางไม่กิน ไม่ดื่ม และไม่นอน เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆราวกับว่าเป็นมนุษย์ต้นไม้คนหนึ่งเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของชิวเยวี่ยถงที่ว่าห้ามให้ใครมารบกวนนาง ชิวจูคงเข้าไปอยู่ใกล้ๆนานแล้วแต่ในตอนนี้นางทำได้เพียงรู้สึกกังวลใจเท่านั้น
ในช่วง 2 วันที่ผ่านมานั้นมีคนมากมายต้องการเข้าพบเจ้านายของนางแต่ก็ถูกนางห้ามไม่ให้เข้ามาที่นี่เสมอ แต่นางก็เข้าใจดีว่าสถานการณ์ของหมู่บ้านในตอนนี้ไม่อาจรอได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเส้นตายที่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆและนางเองก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ชิวเหม่ยยังคงนอนอยู่บนเตียงและท่านหมอซุนก็ดูแลนางตลอด 2 วันที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วน้ำหนักของนางก็ลดลงไปมากจนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้เลย ตามที่ท่านหมอซุนได้บอกไว้ สถานการณ์ในตอนนี้ของชิวเหม่ยนั้นถือว่าแย่มาก นางคงทนได้อีก 3-4 วันเท่านั้นถ้ามากเกินกว่านั้นเกรงว่า …
แม้ว่าท่านหมอซุนจะไม่ได้พูดต่อ แต่ชิวจูก็เข้าใจได้ทันที
“ปัง ปัง!”
ในตอนนี้ประตูของสวนแห่งนี้ถูกเคาะอีกครั้งและครั้งนี้มันยังแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เสียงเคาะที่ประตูนั้นดังขึ้นและรุนแรงขึ้นกว่าทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่าผู้ที่กำลังเคาะประตูต้องมีเรื่องเร่งด่วนอย่างแน่นอน