ตอนที่ 90 สังหารในครั้งเดียว
เมื่อสายตาของทุกๆคนจ้องมองมาที่มู่อี้นั้น สายตาของมู่อี้ก็กวาดมองทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันและไปหยุดอยู่ที่ชิวจูที่ยังคงยืนอยู่บนเวทีในตอนนี้
สำหรับหญิงสาวที่มีอายุประมาณ 16-17 ปีผู้นี้ มู่อี้รู้สึกประทับใจในตัวนางอย่างยิ่ง นางสามารถแลกชีวิตของตนเองเพื่อชิวเยวี่ยถงได้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย นั่นแสดงให้เห็นว่าความจงรักภักดีของนางนั้นมีมากเพียงใด
เพียงแต่การที่ชิวเยวี่ยถงยังไม่ปรากฏตัวออกมาในตอนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าในคืนนั้นชิวเยวี่ยถงจะโดนยันต์สายฟ้าเข้าไปแต่นางก็ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก เวลา 3 วันที่ผ่านมานางน่าจะหายเป็นปกติดีแล้ว
แล้วนางไปอยู่ที่ไหนกันในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้?
แม้ว่ามู่อี้จะเคยเห็นนางเพียงแค่ครั้งเดียว แต่นั่นก็ทำให้เขาจำได้ขึ้นใจว่าชิวเยวี่ยถงไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดและหวาดกลัวการต่อสู้และเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะหนีไปโดยทิ้งคนจำนวนมากเอาไว้แบบนี้
เว้นแต่ว่ามันจะมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมากเกิดขึ้นกับนางแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะสำคัญยิ่งกว่าความตายของทุกๆคนในหมู่บ้านแห่งนี้อีกงั้นหรือ?
แม้ว่ามู่อี้จะไม่รู้ว่าชิวเยวี่ยถงกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากนางยังไม่ปรากฏตัวออกมาในคืนนี้ หมู่บ้านแห่งนี้จะต้องหายไปจากภูเขาเสี่ยวหานอย่างแน่นอน
“โปรดมอบตัวหลีหู่มาให้ข้า แล้วข้าจะไม่ทำร้ายใคร” มู่อี้พูดพร้อมกับจ้องมองไปที่ชิวจูแต่ความจริงแล้วเขาพูดให้ทุกๆคนได้ยินโดยทั่วกัน
หลังจากได้ยินคำพูดของเขาผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
พวกเขาคิดว่าศัตรูที่ไม่รู้จักในใจของตนเองนั้นจะน่ากลัวยิ่งกว่านี้ ก่อนที่พวกเขาจะได้เห็นมู่อี้นั้นในใจของทุกๆคนต่างก็คิดว่าแม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้มี 3 เศียร 6 กรแต่เขาจะต้องเป็นคนที่ดูโหดเหี้ยมและน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งนัก เขาต้องมีร่างกายที่สูงใหญ่และทรงพลังไม่อย่างนั้นท่านหัวหน้าหมู่บ้านคงไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่ามู่อี้จะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้และอีกฝ่ายยังดูเหมือนไร้ซึ่งพลังใดๆ ถ้าหากจะมีอะไรที่แปลกประหลาดที่สุดก็คงเป็นการปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่อย่างกะทันหันเท่านั้น
แต่หลายๆคนก็คิดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติว่านี่คือกลอุบายของนักพรตเต๋าผู้นี้หรือไม่
แต่ทันใดนั้นทุกๆคนก็คิดขึ้นมาได้ว่ามู่อี้หนีกับดักที่วางเอาไว้มาได้ยังไงกันโดยที่ไม่ได้ปีนหน้าผาขึ้นมาและยังมีคนมากมายที่เฝ้ายามอยู่ตามจุดต่างๆอีกด้วย ในตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าหมู่บ้านที่ทรงพลังขนาดนั้นถึงได้รับบาดเจ็บ
แต่ในตอนนี้แม้ว่าพวกเขาอยากจะพูดอะไรออกมาแต่หัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
“หลีหู่คือรองหัวหน้าของหมู่บ้านของเรา จะให้เราส่งพี่น้องของเราไปตายอย่างนั้นหรอ เลิกคิดไปได้เลย!” ชิวจูตอบกลับมาเสียงดังความจริงแล้วในตอนนี้จิตใจของนางรู้สึกหวั่นวิตกเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากหลีหู่ยังคงอยู่ที่นี่เช่นนั้นนางคงมอบตัวเขาให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลแต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือหลีหู่ได้หนีไปแล้วและนางก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไรดี
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่อาจพูดได้ว่าหลีหู่หนีไปแล้ว เพราะถ้าหากทำแบบนั้นมันคงทำให้พี่น้องทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้สึกว่าตัวเองโดนหักหลังและไม่มีทางเอาชนะศัตรูได้แน่นอน นี่ถือเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของพวกเดียวกันเอง
ในตอนนี้ถ้าหากมู่อี้โกรธขึ้นมาจริงๆและสังหารทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วหมู่บ้านแห่งนี้คงต้องจบสิ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นแม้ว่าชิวจูจะรู้สึกไม่พอใจหลีหู่ในตอนนี้แต่นางก็ไม่อาจพูดอะไรได้และทำได้เพียงเก็บความรู้สึกของตนเองเอาไว้ในใจเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนางได้แต่หวังว่าท่านหัวหน้าหมู่บ้านจะออกมาที่นี่โดยเร็วที่สุด ในตอนนี้สิ่งที่นางพึ่งพาได้ก็มีเพียงแค่หัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นนายหญิงของนางเท่านั้น
“ใช่ เลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย!”
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างตะโกนขึ้นมาและยังจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยความโกรธ
ถ้าหากว่าเขาสามารถกำจัดนักพรตเต๋าผู้นี้ไปได้ เขาคงได้รับความดีความชอบครั้งใหญ่เลยใช่ไหม?
ผู้คนที่คิดเช่นนี้ย่อมไม่เคยเห็นการโจมตีของมู่อี้ด้วยตาของตนเอง อย่างน้อยที่สุดชิวจูก็ไม่กล้าคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน แม้ว่ามู่อี้ในตอนนี้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่เขาก็ดูน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ชายหนุ่มคนนี้สามารถทำให้นางกระเด็นออกไปได้ในทันทีและยังสามารถเอาชนะท่านหัวหน้าหมู่บ้านได้อีกด้วย เขายังเป็นคนที่ทำให้น้องสาวของนางต้องหมดสติไปหลายวันและยังทำให้พี่น้องในหมู่บ้านหลายคนที่ต้องตายไป
ชิวจูย่อมไม่อยากจะคาดเดาว่าถ้าหากมีใครทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาเขาจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่หรือไม่ ในสายตาของนางนั้นเขาเป็นชายที่บ้าคลั่งและไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจตัวหนึ่งเลย
“จริงหรือ?” มู่อี้มองไปยังผู้คนที่อยู่รอบๆตัวและแสยะยิ้มขึ้นมาทันที
“อย่า!” ชิวจูเห็นการเปลี่ยนแปลงของมู่อี้ก็รีบตะโกนออกไปทันที
แต่ดูเหมือนว่าคำเตือนของนางจะสายไปแล้วเพราะในตอนนี้ชายสองคนที่อยู่ใกล้กับมู่อี้มากที่สุดรีบพุ่งตัวออกไปสังหารมู่อี้ในทันที ในมือของพวกเขาทั้งสองคนนั้นถือมีดสั้นที่ส่องแสงแวววาวด้วยแสงจากคบเพลิงในตอนนี้
การโจมตีอย่างกะทันหันของทั้งสองคนนั้นคือสิ่งที่มู่อี้คาดคิดเอาไว้แล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้คนที่อยู่โดยรอบนั้นจะพุ่งเข้ามาเป็นสิบคนหรือมากกว่านั้นเสียอีก
แต่ถ้าหากเข้ามาเพียงแค่ 2 คนแล้วอยากจะทำร้ายเขา นั่นคงเป็นแค่ฝันไป
มู่อี้สะบัดแขนออกไปพร้อมกับแขนเสื้อของเขา แสงสีขาว 2 เส้นพุ่งออกไปจากใต้แขนเสื้อและตรงไปที่หน้าอกของชายทั้งสองคนทันที
“ตู้ม!”
เมื่อแสงสีขาวปะทะเข้ากับหน้าอกของชายทั้งสองคนนั้น พวกเขาทั้งสองคนต่างก็กระเด็นออกไปพร้อมๆกันและกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง
หน้าอกของพวกเขาดูเหมือนกับถูกกระแทกด้วยก้อนหินอย่างรุนแรงจนยุบเข้าไปข้างใน สายตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความโกรธและภายในปากของพวกเขาก็มีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อดูจากอาการแล้วโอกาสที่พวกเขาจะรอดไปได้คงมีไม่มากนัก
ในตอนนี้ทั่วทั้งจัตุรัสก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ดูเหมือนไม่มีใครกล้าขยับตัวและยืนอยู่นิ่งเท่านั้น
สายตาของพวกเขาที่จ้องมองไปที่มู่อี้นั้นเริ่มมีความกลัวเข้ามาแทนที่ช้าๆ
ถ้าหากมู่อี้เอาชนะพวกเขาด้วยตนเองหรือสังหารพวกเขาด้วยตนเอง เช่นนั้นพวกเขายังยอมรับได้เพราะนั่นหมายความว่ามู่อี้คือผู้ที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งและพวกเขาเชื่อว่าด้วยคนจำนวนมากพอพวกเขาจะต้องเอาชนะศัตรูได้อย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้มู่อี้เพียงแค่สะบัดมือเบาๆและจากนั้นแสงสีขาวก็พุ่งออกมาจนทำให้พี่น้องทั้งสองคนของพวกเขาที่พุ่งตัวไปก่อนหน้านี้กระเด็นไปอย่างรุนแรงและบาดเจ็บสาหัสจนแทบเสียชีวิต
นี่มันวิธีการอะไรกัน? บางทีนี่อาจจะเป็นเหมือนตำนานที่เล่าต่อกันมาเรื่องของเทพเทวดาที่ลงมาบนพื้นดิน
หรือว่านักพรตเต๋าผู้นี้จะเป็นเทวดาองค์หนึ่ง? ไม่อย่างนั้นแล้วเขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน? เมื่อรวมกับการที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่อย่างกะทันหันทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ก็รู้สึกได้ว่าความคิดของตนเองสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
“ตุบ!”
ในตอนนี้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวจนอาวุธที่อยู่ในมือของพวกเขาตกไปอยู่ที่พื้น ในจัตุรัสที่เงียบสนิทแห่งนี้เสียงของอาวุธที่ตกลงไปกระทบกับพื้นดินทำให้จิตใจของทุกๆคนรู้สึกตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น
“ตุบ ตุบ!”
เสียงของอาวุธที่ตกลงไปกระทบกับพื้นดินดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและจากนั้นพวกเขาก็รีบถอยห่างออกไปจากมู่อี้ตามสัญชาตญาณทันที
บนเวทีนั้นสีหน้าของชิวจูก็ดูตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน สถานการณ์ในตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี เพราะนางก็เป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่นางควรทำก็ทำไปหมดแล้ว
“ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย พวกท่านจะยอมหรือไม่ยอม?” มู่อี้ไม่สนใจทุกๆคนที่อยู่ที่นี่สายตาของเขาจ้องมองไปบนเวทีเท่านั้น
“ข้า …” ชิวจูรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล นางเปิดปากของตนเองขึ้นมาแต่จิตใจของนางในตอนนี้นั้นว่างเปล่าและนางไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี
เมื่อเห็นเช่นนี้มู่อี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เขาค่อยๆยื่นมือขวาของตนเองออกมา
ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็รู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้นในตอนนี้และชิวจูก็รู้สึกตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน หัวใจของนางเต้นระรัวราวกับว่ามันกำลังกระโดดออกมาจากร่างกายของนาง
ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนี้มู่อี้มองออกไปอีกทิศทางหนึ่งด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจ
ทันใดนั้นเสียงดาบก็ดังขึ้นมาทันที