ตอนที่ 111 ปล้นทรัพย์
“โม่หรูเยียน ขอคารวะต่อท่านนักพรตเต๋าเจ้าค่ะ” โม่หรูเยียนประสานมือของตนเองและทำความเคารพมู่อี้ราวกับว่าเป็นผู้น้อยคนหนึ่งที่ทำความเคารพผู้อาวุโส
“ข้าไม่รู้ว่าท่านเต็มใจรับข้อเสนอของข้าหรือไม่ขอรับ?” มู่อี้ถามออกไปตรงๆ ถ้าหากได้ตัวโม่หรูเยียนมาทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันด้วยตนเองก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดี นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นว่านางเป็นหญิงสาวที่งดงามแต่เพราะเขาทราบดีว่าโม่หรูเยียนแข็งแกร่งมากแค่ไหนนับตั้งแต่นางเดินเข้ามาที่นี่ เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันแข็งแกร่งของนางแม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเท่ากับท่านหมอซุนของกลุ่มโจรภูเขาแต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ไม่ต้องเดาเลยว่าหญิงสาวผู้นี้ต้องมีวิทยายุทธที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นแล้วนางคงไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้
“หากท่านนักพรตเต๋ามาเร็วกว่านี้สักครึ่งวัน หรูเยียนย่อมตกลงรับปากท่านแน่นอน แต่ในตอนนี้ข้าได้ตัดสินใจร่วมเดินทางคุ้มกันสินค้าไปยังเมืองลั่วหยางแล้ว หากท่านนักพรตเต๋าไม่รังเกียจในเรื่องนี้พวกเราก็เดินทางไปพร้อมกันได้เจ้าค่ะ” โม่หรูเยียนพูดอย่างตรงไปตรงมาทันที
“นายหญิงน้อย …” ชายวัยกลางคนดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างเมื่อเขาได้ยินคำพูดของโม่หรูเยียน แต่ก็ถูกโม่หรูเยียนสั่งห้ามทันที
“หากข้าไม่ยอมตกลงเช่นนั้น สำนักคุ้มกันโม่หยวนของท่านก็อาจจะปฏิเสธการจ้างวานของข้างั้นหรือ?” มู่อี้มองไปที่อีกฝ่ายและถามขึ้นมาทันที
“ท่านจะพูดเช่นนั้นก็ได้” โม่หรูเยียนพยักหน้า
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วข้าก็คงมีแต่ต้องตกลงเท่านั้น แล้วพวกเราจะออกเดินทางเมื่อไหร่ขอรับ?” มู่อี้ถามอีกครั้งแม้ว่าเขาจะไม่อยากเดินทางไปพร้อมกับคนอื่นๆแต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่การเดินทางไปพร้อมกับคนอื่นๆก็ถือเป็นเรื่องที่ดีและมันก็ช่วยประหยัดเวลาไปได้ด้วยเช่นกัน
“เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ แต่ท่านนักพรตเต๋ายินดีที่จะชำระค่าเดินทางก่อนหรือไม่เจ้าคะ?” โม่หรูเยียนตอบกลับมา
“ได้สิขอรับ เท่าไหร่กัน?” มู่อี้พยักหน้าและถามกลับมาทันทีแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าโม่หรูเยียนมีการกระทำอะไรบางอย่างที่ดูผิดปกติไปแต่เขาก็เชื่อมั่นในตนเองและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหลอกลวงเขาอย่างแน่นอน
เพราะถ้าหากทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขาหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวแล้ว
“1,000 ตำลึง” โม่หรูเยียนยกนิ้วชี้ของตนเองขึ้นมา
“ไม่มีปัญหาขอรับ” ราคาที่หญิงสาวกล่าวมานี้ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่มู่อี้พอรับได้ ดังนั้นเขาจึงตกลงรับปากทันที
“1,000 ตำลึงที่ข้าพูดถึงคือ 1,000 ตำลึงทองนะเจ้าคะ ท่านนักพรตเต๋าโปรดฟังให้ดี” โม่หรูเยียนจ้องมองมาที่มู่อี้ทันทีและพูดขึ้นมา
“อะไรกัน?” เสียงที่ดูประหลาดใจนี้ไม่ได้มาจากมู่อี้แต่มาจากชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขา เขารู้ดีว่าโม่หรูเยียนได้สร้างความลำบากใจให้กับมู่อี้แล้วในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมโม่หรูเยียนถึงทำแบบนั้น โดยปกติแล้วโม่หรูเยียนไม่ใช่หญิงสาวที่จะทำอะไรโดยปราศจากจุดมุ่งหมาย นางเป็นคนที่ยุติธรรมและน่าเชื่อถือคนหนึ่ง วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
หรือว่าโม่หรูเยียนรับรู้ได้ถึงความเป็นศัตรูจากนักพรตเต๋าผู้นี้? ชายวัยกลางคนไม่ทราบเหตุผลเรื่องนี้และทำได้เพียงคาดเดาไปต่าง ๆ นานาเท่านั้น
“ข้าขอทราบเหตุผลได้ไหมขอรับ” มู่อี้พูดขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาจะมีไข่มุกและเงินทองมากมายที่อยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ของต้าหนิวและจำนวนเงินนั้นก็มากกว่า 1,000 ตำลึงทอง แต่มู่อี้ก็ไม่อยากสูญเสียเงินมากมายขนาดนี้ในครั้งเดียว
ในยุคสมัยนี้เงินจำนวน 1,000 ตำลึงทองถือว่ามหาศาล ด้วยอัตราการแลกเปลี่ยนระหว่างทองกับเงินในตอนนี้ 1,000 ตำลึงทองจะเท่ากับ 30,000 ตำลึงเงินเลยทีเดียว
ต้องรู้ก่อนว่าในยุคสมัยนี้ครอบครัวคนธรรมดาแต่ละครอบครัวนั้นใช้เงินแต่ละปีไม่ถึง 2 ตำลึงเงินด้วยซ้ำ จำนวนเงิน 1,000 ตำลึงทองจึงถือว่ามากมายมหาศาล
“เหตุผลก็เพราะว่าเขา แค่นี้ยังไม่พออีกหรือเจ้าคะ?” โม่หรูเยียนยืนขึ้นมาข้างๆต้าหนิวและชี้นิ้วไปที่มันทันที
มู่อี้เห็นเช่นนี้ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจได้ทันที ดูเหมือนว่าโม่หรูเยียนจะรู้จักและเคยพบเห็นต้าหนิวมาก่อน เพราะการดำรงอยู่ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดและต้าหนิวก็มีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตและเด่นชัดมาก ตราบใดที่เคยเห็นมันย่อมจดจำไปตลอดได้อย่างแน่นอน
เขานึกถึงสีหน้าของชายวัยกลางคนที่เขาได้เห็นในตอนแรกที่เข้ามาที่นี่ เรื่องทุกอย่างก็อธิบายได้ในทันที ดูเหมือนว่าสำนักคุ้มกันแห่งนี้จะสามารถหาข้อมูลได้อย่างว่องไวเลยทีเดียว
เมื่อรู้ว่าต้าหนิวมาจากลัทธิเทพธิดาพันบุตรและในตอนนี้มู่อี้กำลังเดินทางออกไปจากชิงเจียงแห่งนี้ เขาก็เข้าใจท่าทีของโม่หรูเยียนก่อนหน้านี้ได้ทันที
เพราะแม้ว่ามู่อี้จะเดินทางออกไปแล้วแต่สำนักคุ้มกันโม่หยวนก็ยังคงตั้งอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนและชิงเจียงก็ถือว่าอยู่ในอิทธิพลของลัทธิเทพธิดาพันบุตรด้วยเช่นกัน การที่พวกเขาสร้างศัตรูตัวใหญ่ขึ้นมาเพราะธุรกิจที่ตัวเองทำย่อมเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นโม่หรูเยียนจึงไม่ได้พยายามทำให้มู่อี้ลำบากใจแต่เป็นการขับไล่มู่อี้ให้ออกไปจากที่นี่อ้อมๆ
แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นเพียงการคาดเดาของมู่อี้เท่านั้นและการคาดเดาของเขาอาจจะผิดไปก็เป็นได้
“เหตุผลนี้ข้าพอรับได้ขอรับ แต่ท่านรับปากข้าได้หรือไม่ว่าถ้าหากข้าจ่ายเงินออกไป 1,000 ตำลึงทองแล้วท่านจะทำหน้าที่คุ้มกันพวกเราเดินทางไปยังเมืองลั่วหยางเป็นการส่วนตัว? และต้องรับประกันความปลอดภัยของพวกเราด้วย?” มู่อี้พยักหน้าจากนั้นก็ถามขึ้นมาทันที
1,000 ตำลึงทองเขาย่อมมีพร้อมอย่างแน่นอน!
“ได้สิเจ้าคะ ข้าขอเอาชื่อสำนักคุ้มกันโม่หยวนและชื่อของข้าโม่หรูเยียนรับประกันได้เลย” โม่หรูเยียนพูดออกมาตรงๆ
“เช่นนั้นข้าก็พร้อมมอบเงิน 1,000 ตำลึงทองให้กับท่าน” สายตาของมู่อี้ยังคงสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็นำตั๋วเงินจำนวน 25,000 ตำลึงเงินออกมาจากกระเป๋าของเขาทันที
ครั้งนี้เงินที่เขาได้รับมานั้นหายไปถึงครึ่งหนึ่ง เพราะแม้ว่าตระกูลซูจะร่ำรวยแต่พวกเขาก็ใช้เงินส่วนหนึ่งลงทุนไปในมณฑลหลินอานแล้ว ในตอนนั้นหลีหู่ได้ปล้นชิงทรัพย์ตระกูลที่มั่งคั่งทั้ง 7 ตระกูลภายในมณฑลหลินอานและได้เงินไปประมาณ 1-2 ล้านตำลึงเงิน แม้ว่าตระกูลซูจะแข็งแกร่งและร่ำรวยอย่างมากแต่พวกเขาก็เหลือเงินอยู่เพียงแค่ 2-3 แสนตำลึงเงินเท่านั้น
เดิมทีในตอนที่มู่อี้จะออกเดินทางวันนั้น ซูจงซานได้เตรียมตั๋วเงินเอาไว้ให้เขา 100,000 ตำลึงเงินแล้วแต่มู่อี้ไม่อาจรับเงินพวกนั้นได้และปฏิเสธอยู่หลายครั้ง เขารับตั๋วเงินมาเพียง 32,000 ตำลึงเงินเท่านั้นและยังมีทองแท่งกับไข่มุกอีกนิดหน่อย รวมทั้งหมดแล้วมูลค่าก็ไม่ได้มากนัก ประมาณ 42,000 ตำลึงเงินเท่านั้น แต่ในตอนนี้เขาต้องสูญเสียเงินที่มีทั้งหมดครึ่งหนึ่งให้กับโม่หรูเยียนไปแล้ว
โชคดีที่มู่อี้ได้รับเงินมาจากตระกูลซูไม่อย่างนั้นแล้วเขาไม่มีปัญญาจ้างสำนักคุ้มกันอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเขาก็ต้องเดินทางไปยังเมืองลั่วหยางด้วยตนเองเท่านั้นซึ่งนั่นทำให้เขาต้องเสียเวลาและเสียพละกำลังมากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่เมื่อมีโม่หรูเยียนและสำนักคุ้มกันเข้ามาช่วยเหลือ อย่างน้อยมู่อี้ก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไป เขาสามารถมุ่งมั่นกับการฝึกฝนจิตใจได้ตลอดการเดินทาง นั่นจึงเป็นเหตุผลข้อหนึ่งว่าทำไมมู่อี้ถึงพยายามจ้างวานสำนักคุ้มกัน
“นายหญิงน้อย ท่านกำลังคิดอะไรอยู่กัน”
หลังจากมู่อี้ออกไปแล้ว ชายวัยกลางคนก็จ้องมองมาที่โม่หรูเยียนทันที
“ลุงจ้าวไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่ว่าเขามีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเทพธิดาพันบุตรงั้นหรือ? นอกจากนี้สำนักคุ้มกันโม่หยวนของข้าก็ไม่ได้อ่อนแอเสียหน่อย” โม่หรูเยียนไม่ได้สนใจมากนักและหยิบตั๋วเงินจำนวนมหาศาลที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาทันที
“ท่านก็น่าจะทราบดีว่าข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของท่านสั่งเอาไว้ว่าห้ามให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ในสำนักคุ้มกันเป็นเวลา 2 เดือน หากท่านทำแบบนี้ท่านจะบอกกับท่านพ่อของท่านอย่างไรในตอนที่เขากลับมา?” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นมา
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะกลับมาที่นี่ก่อนวันเกิดของท่านพ่อที่จะมาถึงในเดือนหน้า” โม่หรูเยียนตอบกลับมา
“เช่นนั้นเรื่องลูกชายของท่านรองนายอำเภอหลี่ …”
“เรื่องนี้ท่านบอกท่านพ่อเถอะว่าอย่าคิดมากเลย” โม่หรูเยียนพูดขัดชายวัยกลางคนขึ้นมาทันทีและก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อนางก็ถือตั๋วเงินทั้งหมดและเดินออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ชายวัยกลางคนก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาทราบดีว่าโม่หรูเยียนเป็นคนอย่างไรและเขายังรู้ว่านางปิดบังอะไรอยู่ในตอนนี้
ภูเขาเสี่ยวหานดูเงียบสงบอย่างยิ่งในค่ำคืนนี้แต่ตรงหน้าหลุมศพที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวบริเวณทางขึ้นภูเขานั้น มีคน 3 คนที่กำลังยืนอยู่ที่นี่เงียบๆ นั่นคือ ชิวเยวี่ยถง ชิวจู และชิวเหม่ย
“นายหญิง ท่านจะออกไปจริงๆหรือเจ้าคะ?” ชิวจูถามขึ้นมาทันที
“ถ้าหากมันยังมีความเป็นไปได้ ข้าก็พร้อมที่จะลองดู” ชิวเยวี่ยถงพูดขึ้นมาหลังจากเงียบอยู่นาน
“แต่ท่านหมอซุนเคยบอกไว้ว่ามันเป็นเพียงตำนานเท่านั้น มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็เป็นได้? นอกจากนี้ถ้าหากท่านออกไปจากที่นี่แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกัน? แล้วหมู่บ้านแห่งนี้ล่ะเจ้าคะ?” ชิวจูรีบพูดขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีกเลยตลอดชีวิต หมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังมีเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือไง? ท่านหมอซุนคงไม่ปล่อยให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก” ชิวเยวี่ยถงพูดออกมาเบาๆ ดูเหมือนว่านางจะตัดสินใจเรื่องนี้ไปแล้ว