ตอนที่ 123 กลุ่มโจรอาชาทองคำ
กลุ่มโจรอาชาทองคำ!
มู่อี้ได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกและไม่เคยรู้จักคนกลุ่มนี้มาก่อนเลย เพราะเขาไม่เคยเดินทางมาที่เมืองลั่วหยางมาก่อนและในโลกใบนี้ต่างก็มีกลุ่มโจรอยู่มากมาย ถ้าเขารู้จักคงถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดแล้ว
แต่ไม่ว่ากลุ่มโจรอาชาทองคำจะเป็นใครมาจากไหนดูเหมือนการลงมือของพวกเขาจะมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เป้าหมายของพวกเขาอาจจะเป็นการแย่งชิงสินค้าที่อยู่ภายในรถม้า ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเงาดำที่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น เรื่องนี้ยังไม่อาจระบุได้
แต่ในตอนที่ชายร่างใหญ่ผู้นี้ก้าวออกมาก็ทำให้มู่อี้รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาคือหัวหน้าของกลุ่มโจรอาชาทองคำอย่างนั้นหรือ? ถ้าหากไม่ใช่เช่นนั้นเรื่องนี้ก็น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่ากลุ่มโจรขี่ม้าเหล่านี้จะล่าถอยออกไปและไม่โจมตีต้าหนิวอีกแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าต้าหนิวจะปล่อยให้พวกเขาทุกคนหนีไปได้ ต้าหนิวในตอนนี้นอกจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์และมู่อี้แล้วมันก็ไม่สนใจใครทั้งนั้น
ดังนั้นแม้ว่ากลุ่มโจรขี่ม้าเหล่านี้จะเห็นว่าต้าหนิวไม่ได้ทำตามกฎแห่งการต่อสู้ของยุทธภพ แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้
“วันนี้เจ้าต้องตาย!” เมื่อชายร่างใหญ่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ การที่กลุ่มโจรขี่ม้าต้องตายไปเพราะน้ำมือของต้าหนิวทีละคนก็ทำให้เขารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปหาต้าหนิวพร้อมกับขวานยักษ์ที่อยู่ในมือของตนเอง
ขวานยักษ์ในมือของเขานั้นแค่มองดูก็รู้ทันทีว่าน้ำหนักต้องมหาศาลแน่นอน มันแสดงให้เห็นว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้ก็ย่อมมีความสามารถด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าหากเทียบกับต้าหนิวแล้ว พละกำลังของเขาถือว่ากลายเป็นเรื่องตลกไปเลย
ต้าหนิวจ้องมองมาที่ชายร่างใหญ่จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหาด้วยเช่นกัน สีหน้าของมันยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้หลบการโจมตีของอีกฝ่ายและใช้กำปั้นของตนเองออกไปปะทะกับขวานยักษ์ทันที
“ตู้ม”
หลังจากเสียงการปะทะดังลั่นขึ้นมา ขวานยักษ์ก็กระเด็นออกไปในอากาศและชายร่างใหญ่ก็กระเด็นถอยกลับไปประมาณ 10 ก้าวจนกระแทกเข้ากับม้าของตนเองอย่างรุนแรง
“นี่มันพลังอะไรกัน” ชายร่างใหญ่พูดออกมาด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นว่าต้าหนิวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ถอยกลับไปแม้แต่ครึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีโอกาสเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
กลุ่มโจรขี่ม้านั้นรับรู้ได้ถึงพลังของหัวหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจนและขวานยักษ์เล่มนั้นก็มีน้ำหนักมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมันกลับไม่สามารถทำอะไรต้าหนิวได้เลย
หลังจากเห็นว่าชายร่างใหญ่กระเด็นออกไปแล้วต้าหนิวก็หันมองไปรอบๆตัวมันทันที จากนั้นมันก็เริ่มสังหารกลุ่มโจรขี่ม้าที่อยู่รอบตัวอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนนี้ขวัญกำลังใจของกลุ่มโจรขี่ม้านั้นได้สูญสลายไปหมดแล้ว พวกเขาต่างก็คุ้นเคยในเรื่องการต่อสู้และการปล้นชิงทรัพย์จากผู้อื่น ใครจะคิดกันว่าวันหนึ่งพวกเขาจะต้องพบเจอกับความสูญเสียเช่นนี้? ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดและพวกเขาไม่อาจทำอะไรศัตรูได้เลย ถ้าหากพวกเขาไม่รีบหนีไปตอนนี้และรอให้โม่หรูเยียนมาถึงที่นี่อีกคน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีทางหนีได้อีกต่อไป
ความจริงแล้วนับตั้งแต่ต้าหนิวปรากฏตัวออกมา แผนการของพวกเขาก็ถือว่าล้มเหลวไปแล้ว
สิ่งที่กลุ่มโจรขี่ม้าเหล่านี้คิดได้ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำของพวกเขาก็ย่อมคิดได้ด้วยเช่นกัน เขาหันไปมองสิ่งที่ไม่อาจเรียกว่าการต่อสู้ได้ในตอนนี้และนอกจากนี้ยังมีผู้คุ้มกันของขบวนรถม้าอีกหลายสิบคน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “พี่น้องทุกๆท่าน ครั้งนี้พวกเราคงต้องถอยทัพกลับไปพร้อมๆกัน”
“ย่าห์!”
หลังจากเสียงตะโกนดังขึ้นมานั้นกลุ่มโจรขี่ม้าเหล่านี้ก็เริ่มล่าถอยออกไปทันทีและเมื่อกลุ่มผู้คุ้มกันเห็นว่ากลุ่มโจรขี่ม้ากำลังล่าถอยออกไปนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ตามไป แม้แต่ต้าหนิวเองเมื่อเห็นว่ากลุ่มโจรขี่ม้าล่าถอยออกไปแล้วมันก็กลับไปหามู่อี้ทันที
ในตอนนี้สายตาของผู้คุ้มกันทุกๆคนที่มองมายังต้าหนิวล้วนมีแต่ความขอบคุณจากใจจริง เพราะพวกเขาย่อมรู้ดีว่าหากไม่มีต้าหนิวมาช่วยเหลือพวกเขาทุกๆคนคงต้องตายลงที่นี่อย่างแน่นอน แม้ว่าในตอนนี้จะมีคนที่ต้องบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาบ้างแต่อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็ยังรอดชีวิตมาได้และสินค้าก็ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พูดได้เลยว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะต้าหนิวที่เข้ามาช่วยเหลือ
“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” ในตอนนี้โม่หรูเยียนก็กลับมาถึงที่นี่และเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นางรู้สึกตกตะลึงจนต้องยืนนิ่ง เห็นได้ชัดว่าแม้แต่นางเองก็ไม่คิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะไม่หลงเข้าไปในกับดักของศัตรู แต่การเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรขี่ม้า 60-70 คน ย่อมเป็นสิ่งที่นางเองก็ไม่อาจรับมือได้อย่างแน่นอน
“นายหญิงน้อยขอรับ พวกเราไม่เป็นอะไร ครั้งนี้ต้องขอขอบคุณท่านต้าหนิวที่เข้ามาช่วยเหลือขอรับ” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูหวาดกลัวเล็กน้อย
“ขอบคุณท่านมาก ถือว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว” โม่หรูเยียนไม่ได้ขอบคุณต้าหนิวแต่มองตรงไปที่มู่อี้และพูดออกมา
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของพวกท่าน ข้าเองก็ไม่อยากให้ใครต้องบาดเจ็บ” เมื่อมู่อี้พูดจบเขาก็กลับเข้าไปในรถม้าของตนเองทันที
“นายหญิงน้อยขอรับ” ในตอนนี้ท่านลุงไฉและผู้คุ้มกันคนอื่นๆก็เดินทางกลับมาถึงที่นี่ เมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้สีหน้าของทุกๆคนก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง ม้าและคนที่โดนทุบศีรษะจนล้มตายไปเป็นจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ท่านไปจัดการคนที่บาดเจ็บก่อนเถอะ พวกเราต้องรีบเดินทางออกจากที่นี่” โม่หรูเยียนไม่ได้พูดอะไรออกมาและออกคำสั่งทันที แม้ว่ากลุ่มโจรขี่ม้าจะล่าถอยไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าพวกมันจะไม่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง บางทีพื้นที่บริเวณนี้อาจจะมีอันตรายอื่นๆอีกพวกเขาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้
“รับทราบขอรับ” ท่านลุงไฉพยักหน้า จากนั้นเขาก็นำคนออกไปเก็บกวาดสนามรบแห่งนี้ทันที
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีขบวนรถม้าก็ออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากรอให้ขบวนรถม้าเดินทางออกไปแล้วด้านหลังเนินเขาก็มีร่างหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาช้าๆ เขาจ้องมองไปยังทิศทางที่โม่หรูเยียนจากไปอยู่ครู่หนึ่งและจากนั้นก็หันหลังกลับมา
ในตอนที่จะออกเดินทางนั้นมู่อี้ก็ตรวจสอบรอบๆพื้นที่นี้แล้วด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่พบอะไรอีก
ขบวนรถม้าเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งและหยุดพักที่นั่นเพื่อซ่อมแซมรถม้าที่ชำรุด ในวันนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นและมีพี่น้องหลายคนที่ต้องบาดเจ็บ จึงไม่เหมาะสมที่จะเดินทางต่อในวันนี้
แม้ว่าโม่หรูเยียนจะรู้สึกกังวลแต่นางก็เข้าใจดีเรื่องลำดับความสำคัญและในช่วงเวลาเช่นนี้ นางยิ่งต้องสร้างความมั่นคงให้กับตนเองมากยิ่งขึ้น
ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากกลุ่มผู้คุ้มกันต้องเผชิญหน้ากับศัตรูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงศัตรูที่แข็งแกร่งเลยแค่ศัตรูที่เหมือนกับกลุ่มโจรขี่ม้าก่อนหน้านี้ นางคิดว่ากลุ่มผู้คุ้มกันอาจจะหนีเอาชีวิตรอดโดยที่นางไม่อาจควบคุมอะไรได้อีก
เรื่องแบบนั้นใช่ว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้น
วันนี้พวกเขาทุกๆคนต่างก็มีความกล้าหาญนั่นก็เพราะมีต้าหนิวเป็นผู้นำ บวกกับสถานการณ์ที่ได้เปรียบในการต่อสู้และสามารถเอาชนะศัตรูมาได้
แต่แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะศัตรูมาได้ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมีการต่อสู้เช่นนี้เกิดขึ้นมาอีกผู้คุ้มกันหลายๆคนต้องหวาดกลัวจนขาสั่นอย่างแน่นอนและเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วความกล้าหาญของพวกเขาก็จะหมดไปทันที
“นายหญิงน้อยขอรับ ท่านคิดว่าพวกเราควรไปพูดคุยกับท่านนักพรตเต๋าหรือไม่?” ในตอนบ่ายของวันนี้ท่านลุงไฉก็เข้ามาหาโม่หรูเยียนในห้องของนางและพูดออกมาเบาๆ ความจริงแล้วเขาอยากจะพูดเรื่องนี้ออกมาโดยตลอด
หลังจากรับรู้ได้ว่ามู่อี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาก็คิดเรื่องนี้ในใจมาโดยตลอด ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ของต้าหนิวเลย มันสามารถต่อสู้กับศัตรูนับร้อยคนได้โดยไม่มีแม้แต่รอยแผล
ถ้าหากพวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากมู่อี้และต้าหนิวได้จริงๆ เช่นนั้นภารกิจของพวกเขาก็อาจจะเสร็จสมบูรณ์ไปได้ด้วยดีและพวกเขาทุกคนก็จะปลอดภัยด้วยเช่นกัน
“พูดคุย? พูดคุยอะไรกัน? จะขอให้เขาช่วยเหลือพวกเราอย่างนั้นหรือ?” โม่หรูเยียนมองมาที่ท่านลุงไฉและพูดขึ้นมาเบาๆ นางย่อมรู้ดีว่าท่านลุงไฉมาหานางเพื่ออะไร
“ใช่ขอรับ” ท่านลุงไฉพยักหน้าทันที
“ท่านจงอย่าลืมว่าเขาก็เป็นผู้ว่าจ้างคนหนึ่งของพวกเราและข้าเองก็รับเงิน 1,000 ตำลึงทองมาแล้ว” โม่หรูเยียนพูดด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
“เช่นนั้นพวกเราก็คืนเงิน 1,000 ตำลึงทองกลับไปให้เขา” ท่านลุงไฉพูดกลับมาทันทีแม้ว่าเงิน 1,000 ตำลึงทองนั้นจะถือว่าสำคัญมากแต่เมื่อเทียบกับชีวิตของพี่น้องทุกๆคนแล้ว เงินทองก็ย่อมไม่อาจเทียบได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นเงินว่าจ้างจำนวน 1,000 ตำลึงทองนี้เดิมทีก็เป็นราคาที่โม่หรูเยียนเรียกร้องออกมาด้วยตนเองเท่านั้น ซึ่งย่อมเป็นเรื่องธรรมดาถ้าหากเขาจะคืนเงินจำนวนนั้นกลับไป
“มันสายเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะส่งมอบเงินกลับไปแต่เขาก็คงไม่ต้องการแน่นอน” โม่หรูเยียนส่ายศีรษะทันที
“นายหญิงน้อย …” ท่านลุงไฉดูเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา
“ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว เรื่องนี้ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว ต่อไปพวกเราจะระวังตัวให้มากหน่อย ในคืนนี้ข้าจะเป็นคนเฝ้าระวังให้กับทุกๆคนเอง ท่านลุงไฉท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” โม่หรูเยียนยกมือของนางขึ้นมาเพื่อหยุดไม่ให้ท่านลุงไฉที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาได้พูดต่อ จากนั้นนางก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นทันที