Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 126

ตอนที่ 126

ตอนที่ 126 ทุ่มสุดตัว

“ไม่จําเป็น

มู่อีกล่าวขอบคุณออกไปจากใจจริงแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจรับไว้ในตอนนี้

100

หลังจากโม่หรูเยียนตอบกลับมาเช่นนี้ นางก็เดินจากไปพร้อมกับหอกของตนเองทันทีและจากนั้นนางก็ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งพร้อมกับเฝ้ามองผู้คุ้มกันคนอื่นๆที่กําลังทําหน้าที่ของตนเองอย่างมีชีวิตชีวา

ไม่ชี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป แม้ว่าเขาจะใช้เวลาอยู่กับโม่หรูเยียนไม่ได้นานมากนักแต่เขาย่อมเข้าใจว่านางเป็นคนอย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เก็บคําพูดของนางมาใส่ใจหรือตามไปขอบคุณ นางซ้ําแล้วซ้ําเล่าในตอนนี้

มู่ลี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิมในตอนนี้และกําหมัดขึ้นมาทันที แต่ในครั้งนี้เขารู้สึกได้ถึงประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เคล็ดวิชาหมัดที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ไม่เพียงแต่ทําให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาแต่มันยังสามารถช่วยฟื้นฟูพลังแห่งจิตใจให้กับเขาได้ด้วยเช่นกัน

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดอีกต่อไปเพราะเขารู้ดีว่าในตอนนี้เวลากีสายมากแล้วและแม้ว่าเขาจะฝึกฝนไปผลของมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี

มู่อี้กลับไปที่ห้องของตนเองพร้อมกับชําระล้างร่างกายและเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่

หลังจากนั้นขบวนรถม้าก็ออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งโม่หรูเยียนไม่ได้พูดอะไรกับมู่อี้อีกเลยกลับกันเป็นท่านลุงไฉที่เข้ามาทักทายมู่ในตอนนี้

เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ทําให้การเดินทางไปยังเมืองลั่วหยางต้องล่าช้าไปถึง 1 วันเต็มๆ ที่จริงแล้วพวกเขาควรจะถึงเมืองลั่วหยางตั้งแต่วันนี้ด้วยซ้ํา

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาต้องเสียเวลาอีก 1 คืนก่อนจะเดินทางเข้าไปยังเมืองลั่วหยางในวันพรุ่งนี้

แม้ว่าโม่หรูเยี่ยนหรือท่านลุงไฉจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ผู้คุ้มกันทุกๆคนก็คิดในใจว่าค่ําคืนนี้จะต้องเป็นค่ําคืนที่ศัตรูจะต้องลงมืออย่างแน่นอนและมันยังเป็นค่ําคืนที่ตัดสินความเป็นความ ตายของพวกเขา

ในเมื่อพวกเขาเองก็คิดแบบนี้ ทําไมม่อี้จะคิดไม่ได้ล่ะ? เขาย่อมรู้ดีว่าท่านลุงไฉมาหาตนเองเพื่ออะไรในตอนนี้

เขาคงคิดว่าม่อี้สามารถล่วงรู้อนาคตได้ใช่ไหม? เมื่อวานนี้มู่ลี้ย่อมทราบดีว่ามีศัตรูกําลังซุ่มโจมตีอยู่ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากตาหนิวไม่เข้ามาช่วยเหลือพวกเขาจะรอดชีวิตไปได้อย่างไรกัน?

แม้ว่ามู่อี้จะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็คงไม่สามารถบอกความจริงกับทุกๆคนได้ใช่ไหม? ไม่ว่าเขาจะแก้ตัวอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่เชื่อเขาอย่างแน่นอนและคงคิดว่าเขาไม่เห็นคนอื่นๆในสาย เตา

ดังนั้นลู่อี้จึงไต่ตรองอยู่สักพักหนึ่งและพูดออกมาว่า “มีเรื่องที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นแต่ไม่มีอันตรายใดๆ”

หลังจากได้คําตอบจากมู่อี้แม้ว่าท่านลุงไฉจะไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วในตอนนี้

พูดตามตรงสิ่งที่ท่านลุงไฉต้องการจริงๆในตอนนี้มีเพียงแค่ความสบายใจหรือไม่ก็การยืนยันความปลอดภัยให้กับทุกๆคนเท่านั้น เขารู้สึกว่าตราบใดที่มู่อี้พูดออกมาด้วยตนเองย่อมเชื่อถือได้อย่างแน่นอน แม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะผิดจากที่พูดไปบ้างแต่มู่อี้ก็คงมีความสามาร ถมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น

หลังจากทํานลุงไฉจากไป มู่อี้ก็ส่ายศีรษะทันที จากนั้นก็ปิดตาของตนเองลงและพยายามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงด้านพลัง จิตใจของเขา

ในตลอดทั้งวันนี้ม่อี้ไม่ได้ออกมาจากรถม้าแม้แต่ครึ่งก้าว แม้แต่ในตอนที่ท่านลุงไฉเชิญเข้าไปทานอาหารเที่ยงก็ยังโดนตาหนิวสั่งห้ามไม่ให้เข้าไป ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นตัวมู่เลยตลอดทั้งวันนี้ แม้แต่โม่หรูเยียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาและนางไม่รู้ว่ามู่อี้กําลังทําอะไรอยู่ในตอนนี้

จนกระทั่งถึงเวลากลางคืนเมื่อขบวนรถม้าหยุดลงอีกครั้งหนึ่งมู่อี้จึงออกมาจากรถม้าในตอนนั้นแม้ว่าจะมีความมืดที่เข้าปกคลุมแต่โม่หรูเยียนก็ยังสามารถมองเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของมู่ และความเหนื่อยล้าที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ได้

“ท่านนักพรตเต๋า ท่านไม่เป็นอะไรใช้ไหม?” เมื่อเห็นเช่นนี้โม่หรูเยียนก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาทันที

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” มู่อี้ส่ายศีรษะทันที แม้ว่าปากจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแต่ร่างกายของเขายังคงสั่นเล็กน้อยซึ่งดูขัดแย้งกับคําพูดของเขามาก

“ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ท่านรีบแยกออกไปตรงนี้พร้อมกับตาหนิวเถอะ” นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ไม่หรูเยียนบอกให้มู่อี้แยกตัวออกไป แต่ในครั้งนี้นางพูดออกมาจากใจจริง

” ท่านให้คนช่วยเตรียมน้ําร้อนให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?” มู่อี้ตอบกลับมาโดยไม่ได้สนใจความปรารถนาดีของโม่หรูเยียน

โม่หรูเยียนจ้องมองมาที่มู่อจากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงท่านลุงไฉก็เข้ามาเชิญมู่อี้ด้วยตัวเองและพามู่ ไปที่ห้องของเขาในตอนนี้น้ําร้อนเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วและภายในห้องของเขาก็มีถังไม้ขนาดใหญ่กลางห้องซึ่งมีน้ําร้อนอยู่ภายในนั้น

หลังจากที่ท่านลุงไฉออกไปแล้ว มู่อี้ก็นําถุงกระดาษออกมาจากเสื้อคลุมของตนเองและจากนั้นก็เทผงที่อยู่ในถุงกระดาษลงไปในถังไม้ทันที

ทันใดนั้นน้ําที่กระจ่างใสก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีสีดําคล้ําขึ้นมาทันทีและกลิ่นสมุนไพรที่รุนแรงก็ลอยออกมา มีฟองอากาศจํานวนมากที่ปรากฏขึ้นบนผิวน้ํา

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ม่อี้รู้สึกได้ว่าเขาคงไม่กล้าลงไปในน้ํานี้แน่นอนถ้าหากว่ามันไม่ใช่สมุนไพรที่เขาผสมขึ้นมาด้วยตนเอง

หลังจากนั้นเขาก็ถอดชุดคลุมของตนเองออกและก้าวลงไปในถังไม้ทันที

“อวย”

แม้ว่าจะเตรียมตัวมานานแล้วแต่เมื่อม่ต้องสัมผัสกับน้ําร้อนจริงๆเขาก็อดที่จะส่งเสียงออกมาไม่ได้และทําได้เพียงกัดฟันอดทนพร้อมกับนั่งลงไปในถังไม้ ใบหน้าที่ขาวปีตของเขาก็เริ่มเปลี่ ยนเป็นสีแดง

ใบหน้าของมู่อี้มีสีที่เหมือนกับกุ้งสุกในตอนนี้และความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นก็ทําให้เหงื่อในร่างกายของเขาออกมามากยิ่งขึ้นด้วยเหมือนกัน

เหตุผลที่ม่อี้ทําแบบนี้ในตอนนี้ก็เพราะว่าในช่วงตอนกลางวันของวันนี้เขาได้ทําการหยดเลือดลงบนต้นไผ่ไปแล้ว

ปกติแล้วเขาจะหยดเลือดลงไปบนต้นไม้ในเวลากลางคืนของทุกๆวัน

เพราะการสร้างอาวุธวิญญาณขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทําสําเร็จได้ในเวลาชั่วข้ามคืน มันต้องใช้วิธีการค่อยๆเป็นค่อยๆไปนอกจากนี้พลังในเลือดของมู่ลี้ยังถือว่าน้อยมาก เขาจึงต้องคอยหยด เลือดของตนเองทุกๆวันตลอดทั้ง 49 วันนี้ โดยห้ามหยุดแม้แต่วันเดียว

ถ้าหากมู่ยิ้มีพลังที่มากพอเขาก็ไม่ต้องคอยหยดเลือดเป็นเวลานานถึง 49 วัน แต่ใช้เวลาไปแค่ไม่กี่วันก็น่าจะสําเร็จแล้ว

น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ทรงพลังเช่นนั้นและทําได้เพียงต้องอดทนหยดเลือดของตนเองลงไปทุกๆวันเท่านั้น

และที่เขาเลือกจะหยดเลือดในช่วงเวลากลางคืนนั้นก็เพราะว่ามันทําให้เขาได้มีเวลาพักผ่อนได้มากยิ่งขึ้น เพราะการหยดเลือดลงไปแต่ละครั้งนั้นไม่ว่าพลังแห่งจิตใจหรือการสูญเสียเลือดก็จะทํา ให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าหากมู่อี้เลือกที่จะใช้การหยดเลือดลงไปเป็นจํานวนมากเพื่อลดเวลา 49 วันให้น้อยลงไปนั้นมันคงเป็นการทําร้ายร่างกายของตนเองอย่างแน่นอนและเขาคงทนทําแบบนั้นไปได้แค่ 4-5 วัน เท่านั้น วิธีนี้มันจะทําร้ายรากฐานของเขาและจะกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมมู่เลือกที่จะหยดเลือดในตอนกลางคืนและใช้เวลากลางวันในการพักผ่อนหรือฝึกฝนจิตใจ อย่างน้อยการทําแบบนี้มันก็ทําให้ร่างกายของเขาสามารถปรับสมดุลได้ ดียิ่งขึ้น

เขาพยายามทําทุกอย่างอย่างเต็มที่และพยายามไม่ให้มันทําร้ายร่างกายของตนเอง

แต่ในวันนี้ม่อี้กลับเปลี่ยนมาหยดเลือดในตอนกลางวันซึ่งนั่นหมายความว่าเขาได้ทําลายสมดุลที่ตนเองสร้างขึ้นมาและมันอาจทําให้ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บไปด้วย

ดังนั้นในตอนที่มู่อื้ออกมาจากรถม้า เขาจึงดูเหนื่อยมากและต้องรีบอาบน้ําด้วยยาสมุน ไพรเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายของตนเองทันที

เพราะมุ่อี้ก็ย่อมรู้ดีว่า คนนี้สําคัญอย่างยิ่ง มันอาจจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นและในคืนนี้ต้าหนิวเพียงคนเดียวย่อมไม่อาจรับมือกับศัตรูได้แน่นอน

แม้ว่ามู่อี้จะคิดว่าเขาสามารถปกป้องตนเองได้แม้ว่าจะเลือกทําการหยดเลือดในคืนนี้ แต่เขาก็คิดว่าศัตรูอาจจะเข้ามารบกวนตนเองได้ ถ้าหากว่าเขาทําการหยดเลือดไม่สําเร็จทั้งเขาและ เนียนหนิวเอ้อร์จะต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการย้อนกลับของพิธีกรรมแน่นอน

ดังนั้นฟูอี้จึงอยากทําทุกอย่างให้เสร็จสิ้นตั้งแต่ตอนกลางวัน เพื่อให้คืนนี้เขาสามารถรับมือกับ ศัตรูได้อย่างเต็มที่

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Status: Ongoing

โลกใบนี้ที่แสนโกลาหลวุ่นวายแต่ก็ถือว่ามีความสุขได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น

หากไม่ใช่เพราะท่านปู่ชีวิตของข้าคงจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าข้าจะต้องเข้าสู่ลัทธิเต๋า แม้ว่าข้าจะต้องอดมื้อกินมื้อ

แม้ว่าข้าจะต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่กับท่านปู่ข้าก็รู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง ข้าเคยได้ฟังเรื่องราวของกองทัพวิญญาณ

ผีดิบที่น่าสะพรึงกลัว และความชั่วร้ายในจิตใจของมนุษย์ แต่สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ชีวิตที่สงบสุขเท่านั้น เหตุใดสวรรค์ถึงไม่เคยเมตตาข้าเลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท