ตอนที่ 32 โฉมงามในอ้อมแขน
หยางเย่อุ้มสตรีชุดขาวไว้แน่น เพราะความเร็วในการลงพื้นนั้นรวดเร็วมาก กระแสลมที่ตีขึ้นมา ทำให้ใบหน้าหยางเย่รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ในอีกด้านหนึ่งสตรีชุดขาวในอ้อมแขนเขาอยู่ในสถานะที่ดีกว่า แม้ใบหน้าจะขาวซีด แต่นางยังคงใจเย็นราวกับยังไม่ตกหน้าผา
คิ้วที่งดงามขมวดแน่นเมื่อมองไปยังหยางเย่ที่ปิดตาสนิท เวลานี้ทั้งสองกอดกันแน่น โดยเฉพาะหยางเย่ที่กลัวอย่างมากว่านางจะหลุดจากแขนไป ดังนั้นแขนทั้งสองของเขาจึงรวบเอวนางไว้แน่น มันทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างกันแม้แต่น้อย ถึงแม้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน นางก็ยังไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้เท่าไหร่นัก
สำหรับหยางเย่ แม้จะมีสตรีที่งดงามอยู่ในอ้อมแขน แต่คงไม่มีอารมณ์ไปนึกถึงสิ่งใด เขาหวังเพียงแค่ต้องการถึงพื้นโดยเร็วที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ความสูงกว่าสามร้อยเมตรอาจไม่ทำให้เขาตาย แต่กระดูกในร่างก็คงไม่พ้นที่จะแตกเป็นเสี่ยง!
หลังจากผ่านมาครู่หนึ่ง หยางเย่ลืมตาขึ้นมอง เขาสังเกตว่าทั้งสองยังคงร่วงหล่นอยู่และยังไม่ถึงก้นเหว ทำให้ประกายความหวาดกลัวและตื่นตระหนกคืบคลานออกมาทุกวินาที
“พวกเราควรทำเช่นไร?” หยางเย่ที่จนตรอก เขาฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่สตรีชุดขาว ตั้งแต่บอกให้กระโดดลงเหว นางเองน่าจะมีหนทางใดบ้าง มิเช่นนั้นหากพวกเขาถึงก้นเหวเมื่อไหร่ ก็คงเละเป็นโจ๊กเมื่อนั้น หรือถ้าโชคดีศพของเขาอาจจะไม่แตกสลาย
“ข้าเองไม่ก็ทราบ” สตรีชุดขาวมองกลับหยางเย่พร้อมกล่าวอย่างเฉยชา
“ท่านไม่ทราบได้ยังไง? เหตุใดจึงไม่ทราบ? ท่านบอกให้ข้ากระโดดลงมานะ!” หยางเย่รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที นางบอกให้เขากระโดดลงไปยังเหว แต่กลับปัดคำโดยการบอกว่า ‘ข้าไม่ทราบ’ มันราวกับการปัดความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้อื่นทิ้ง!
“หากเจ้ายังอยู่ข้างบนนั้นก็คงตายไปแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่!” สตรีชุดขาวมองอย่างเย็นชาไปที่หยางเย่ จากนั้นนางหันหน้าไปทางอื่นและไม่มองหยางเย่อีก
หยางเย่หมดคำพูดเช่นกัน แม้ประโยคนี้ของนางจะฟังดูไร้สาระ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันถูกต้อง
หยางเย่สูดหายใจลึกพยายามสงบจิตใจ ‘เราจะตายไม่ได้! หากตายแล้วผู้ใดจะดูแลแม่กับน้องสาว? ใครจะปกป้องพวกนางอีก? มันต้องมีหนทางสิ มันต้องมีสักทาง’
“เกิด… เกิดอะไรขึ้น?” ทันใดนั้น ดวงตาหยางเย่เปิดกว้างพร้อมกล่าว “เหตุใดพลังปราณล้ำลึกในร่างข้าถึงหายไป? อ๊ะ มันหายไปหมดสิ้นแล้ว…”
สตรีชุดขาวกล่าวอย่างเย็นชา “มีพลังลึกลับบางอย่างในหุบเหวมรณะ ทุกคนที่พลาดตกลงมาจะสูญเสียพลังปราณล้ำลึกและกลายเป็นเพียงคนธรรมดา ตั้งแต่ที่เจ้าเสียพลังปราณล้ำลึก นั่นคือเราได้มาถึงก้นเหวแล้ว”
จากนั้นนางหันไปมองหยางเย่พร้อมกล่าวอีกครั้ง “ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมาจบชีวิตลงกับเจ้าที่นี่วันนี้!”
“ท่านทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเราต้องตายเมื่อกระโดดลงมาใช่หรือไม่?” หยางเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ
มุมปากของสตรีชุดขาวเผยรอยยิ้มที่งดงาม “มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรทราบ หากพวกเราตายข้างบนนั้น เจ้าคงจะทราบดีว่าอะไรรอข้าอยู่ไม่ใช่หรือ? แน่นอนอาจรวมถึงเจ้าด้วย สำนักภูตผีมีวิชาลับที่เรียกว่าวิชายึดวิญญาณ พวกมันจะนำวิญญาณพวกเราไปเป็นทาส เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ไม่อาจไปเกิดใหม่ได้อีกต่อไป!”
“ข้าควรรู้สึกขอบคุณท่านงั้นสิ?” หยางเย่เย้ยหยัน สตรีชุดขาวปะทะกับหัตถ์โลหิตจากสำนักภูตผี มันทำให้คนไม่รู้อิโหน่อิแหน่เช่นเขาเข้าไปพัวพันด้วย แต่เดิมพวกเขาเพียงหนีการไล่ล่าจากสำนักภูตผี ไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะพร้อมใจตายและขอให้กระโดดลงมายังเหวมรณะ ถึงแม้จะทราบดีว่าไม่ใช่ความผิดของนางทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่ดี
สตรีชุดขาวทำได้เพียงยิ้มให้และไม่กล่าวสิ่งใด นางเข้าใจดีถึงความรู้สึกของชายหนุ่มคนนี้ เพราะไม่มีใครจะอารมณ์ดีได้จากการถูกดึงเข้ามายุ่งกับเรื่องของตนเอง
เมื่อเห็นสตรีชุดขาวเงียบ หยางเย่ยอมแพ้ในการโต้เถียงกับสตรีชุดขาว เขาเงียบไปชั่วครู่เช่นกัน จากนั้นดวงตาเขาเปิดกว้างขึ้นดูเหมือนจะมีความคิดบางอย่าง
เขาผลักสตรีชุดขาวออกเล็กน้อย จากนั้นลูบไปที่หน้าท้องพร้อมเอ่ยคำ “สหายตัวจ้อย เร็วเข้า ออกมาช่วยชีวิตข้าที หากยังไม่ออกมา เจ้าจะไม่สามารถอยู่ในร่างข้าได้อีกตลอดกาล!”
เวลานี้ เขาไม่กลัวว่าจะมีใครอื่นอยู่ที่นี่แล้ว ความหวังสุดท้ายที่มีคือสหายลึกลับตัวจ้อยเท่านั้น
หลังจากกล่าวจบ แสงสีม่วงเปล่งประกายออกมา มิงค์ม่วงปรากฏตัวบนไหลของหยางเย่
ทันทีที่เห็นมิงค์ม่วงปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของสตรีชุดขาวเปิดกว้างขึ้น แม้นางจะเป็นคนเย็นชาและสงบเสงี่ยม แต่กลับต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสหายตัวจ้อยปรากฏตัว
มันโผล่มาได้ยังไง? มันเป็นสัตว์อสูรทมิฬชนิดใดกัน? เหตุใดข้าไม่เคยเห็นสัตว์อสูรทมิฬเช่นนี้มาก่อน? คำถามมากมายปรากฏในหัวของสตรีชุดขาว
หลังจากมิงค์ม่วงปรากฏตัว มันเริ่มคลอเคลียที่แก้มหยางเย่ จากนั้นมันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ดวงตาที่กลมโตมองกวาดไปรอบด้าน จากนั้นหันกลับมามองหยางเย่ด้วยท่าทีงุนงง
“สหายตัวจ้อย เจ้าพอจะมีหนทางใดที่สามารถช่วยพวกเราได้บ้าง?” หยางเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลใจขณะมองไปที่สหายตัวจ้อย
มิงค์ม่วงกระพริบตาปริบ มันมองไปที่หยางเย่และสตรีชุดขาว จากนั้นมันกระพริบตาอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าในที่สุด
หยางเย่รู้สึกโล่งใจทันทีที่เห็นสหายตัวจ้อยพยักหน้า เวลานี้เขาไม่หวังสิ่งใดนอกจากกอดและหอมมัน มันช่าง… ช่างน่ารักเหลือเกิน!
มิงค์ม่วงเล็งกรงเล็บไปที่หยางเย่และสตรีชุดขาว จากนั้นมันขยับกรงเล็บสองถึงสามครั้งกลางอากาศ
ทันใดนั้นเอง เกราะพลังสีม่วงปกคลุมหยางเย่และสตรีชุดขาว หลังจากที่เกราะพลังสีม่วงปรากฏขึ้น ความเร็วการร่วงหล่นของทั้งสองก็เริ่มช้าลง
หยางเย่รู้สึกดีใจอย่างมากเมื่อสัมผัสว่าความเร็วกำลังช้าลง ดวงตาเขาเปล่งประกายขึ้นเมื่อมองไปที่มิงค์ม่วง ‘เราได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าโดยแท้จริง! สหายตัวจ้อยเป็นสมบัติที่มีค่าอย่างมาก! ไม่เพียงแค่กำราบสัตว์อสูรทมิฬได้ มันยังมีความสามารถอื่นที่น่าทึ่งด้วย! ช่างเป็นสมบัติที่มีค่ามหาศาลอะไรเช่นนี้!’
สตรีชุดขาวตกตะลึงในใจยิ่งนัก นางหันไปมองหยางเย่และรู้สึกว่าไม่อาจมองข้ามชายหนุ่มคนนี้ได้เลย ตั้งแต่แรกเขาครอบครองพลังปราณห้าธาตุทองคำ จากนั้นยังเป็นอาจารย์ยันต์ บัดนี้เขาสามารถเรียกสัตว์อสูรทมิฬได้อีก ทั้งยังเป็นสัตว์อสูรทมิฬลึกลับที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อนด้วย!
‘เขาเป็นเพียงศิษย์ใช้แรงงานจริงหรือ?’ สตรีชุดขาวเต็มไปด้วยความสงสัย
หลังจากสร้างเกราะพลังสีม่วงให้ทั้งสองเรียบร้อย สหายตัวจ้อยกลับเข้าไปยังตันเถียนน้ำวนของหยางเย่ มันทำให้สตรีชุดขาวประหลาดใจอีกครั้ง
“มันหายไปไหนแล้ว?” นางไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมันได้
หยางเย่มองกลับไปที่สตรีชุดขาวพร้อมกล่าว “เป็นความลับ!”
ตันเถียนน้ำวนคือความลับสุดยอด สหายตัวจ้อยเองเช่นกัน เขาไม่ต้องการให้ใครทราบถึงสองสิ่งนี้ โดยเฉพาะสตรีที่มีพลังร้ายกาจ หากนางคิดจะผ่าร่างเขาเพื่อศึกษาตันเถียนน้ำวนหลังจากฟื้นฟูพลัง มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเขานัก
“โอ้” นางเป็นคนค่อนข้างมีเหตุผลและหยุดถามสิ่งใด เพราะทุกคนย่อมมีความลับเป็นของตนเอง นางเข้าใจสิ่งนี้ดี
หลังจากที่ไม่ต้องกังวลเรื่องจะเละเป็นโจ๊กแล้ว ความคิดหยางเย่เริ่มทำงานอีกครั้ง เพราะร่างอันนุ่มนวลของโฉมงามอยู่ในอ้อมกอด และเขาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ดังนั้นจึงมีปฏิกิริยาธรรมดาเหมือนชายหนุ่มทั่วไป
สตรีในอ้อมแขนช่างงดงามอย่างมาก กล่าวได้ว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในชีวิตหยางเย่แล้ว ในอดีตหากเขาพบกับหญิงงามที่มีพลังอันร้ายกาจเช่นนี้ เขาคงไม่กล้าขัดใจนางแน่นอน ไม่ใช่เพราะคิดว่าตนเองด้อยค่า แต่รู้ถึงข้อจำกัดของตนเอง สตรีเช่นนี้ย่อมมีความทะเยอทะยานและความภาคภูมิใจอย่างมาก หากคนปกติธรรมดาเช่นเขาหมายปองนาง คนผู้นั้นคงต้องอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังเช่นยามนี้ ถึงแม้สตรีชุดขาวจะสูญเสียการบ่มเพาะพลัง ความภาคภูมิใจโดยกำเนิดยังเห็นได้ชัด ถึงแม้นางจะแสดงออกอย่างไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ที่นางสูญเสียการบ่มเพาะพลังจนถึงบัดนี้ นางยังไม่อ้อนวอนสิ่งใดจากเขาเลยสักอย่าง
หยางเย่รู้สึกว่านางเป็นสตรีที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูงมาก
หากเป็นช่วงเวลาปกติ หยางเย่จะไม่คิดเกี่ยวกับสตรีผู้นี้อย่างแน่นอน แต่เวลานี้พวกเขากำลังกอดกันแน่น แม้ว่าจะไม่มีความคิดที่สกปรก แต่ร่างกายเขาไม่ใช่!
เมื่อนางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในร่างกายหยางเย่ ใบหน้าที่งดงามเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกและมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าวเสียงแข็ง “เจ้าอยากตายงั้นหรือ?”
แม้มันจะเป็นเพียงประโยคหนึ่ง แต่สตรีชุดขาวเปล่งรังสีความไม่พอใจออกมาขณะที่กล่าว ความคิดจะสังหารก็ปรากฏออกมาจากมันเช่นกัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอาฆาตออกมาจากสตรีชุดขาว หยางเย่รู้สึกหนังศีรษะชาเล็กน้อย เขารีบส่ายหัวและตอบกลับไป “อย่าเพิ่งแสดงอาการเหี้ยมโหดเช่นนั้น ข้าหาได้มีความคิดที่ไม่ให้เกียรติท่านแม้แต่น้อย เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะปฏิกิริยาตอบสนองทางกายเท่านั้น มันเป็นการตอบสนองทางกายอย่างแท้จริง พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ควรไว้ใจซึ่งกันและกัน ไม่ควรขัดแย้งระหว่างกันเอง!”
สตรีชุดขาวไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงมองไปที่หยางเย่
หยางเย่ยิ้มด้วยความเขินอายพร้อมกล่าวต่อ “ชะตาชีวิตของเราจะเป็นยังไงต่อก็ไม่อาจทราบได้ ดังนั้นข้าจะมีความคิดเช่นนั้นได้ยังไง? มันเป็นความจริง ข้าไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้น มันเป็นการตอบสนองของร่างกายเพียงเท่านั้น ท่าน… ท่านน่าจะตระหนักถึงสิ่งนี้นะ…”
หยางเย่ไม่มีทางเลือกนอกจากยืนยันสิ่งนี้ ถึงแม้สตรีชุดขาวได้สูญเสียการบ่มเพาะพลัง หยางเย่ก็ไม่กล้ายืนยันได้ว่านางจะไม่มีไพ่ตายเหลืออยู่ ยิ่งกว่านั้นอย่างที่เขากล่าว ทั้งสองลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเขาไม่ขัดแย้งภายในจากการเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย!
นางมองไปที่หยางเย่ชั่วครู่ จากนั้นหันไปมองทิศทางอื่น เพราะนางก็รู้สึกได้ว่าหยางเย่กล่าวความจริง
หยางเย่รู้สึกโล่งอกทันทีที่เห็นเช่นนี้ แม้การบ่มเพาะพลังของสตรีชุดขาวจะถูกผนึก แต่สายตานางยังมีประกายแห่งความเฉียบคมอยู่ มันคือสิ่งที่ยอดฝีมือมี
ผ่านสถานการณ์ที่น่าอายก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ไม่กล่าวสิ่งใดต่อกันอีก มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังก้อง ทำให้บรรยากาศภายในเพราะพลังสีม่วงเริ่มอึดอัดขึ้นมา
เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง หยางเย่รีบเปิดตาทันใด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี เพราะขาทั้งสองรู้สึกสัมผัสกับพื้นดิน พวกเขาได้มาถึงก้นเหวแล้ว!
ขณะนั้นเอง สตรีชุดขาวเปิดตากว้างเช่นกัน ทั้งคู่จ้องมองกันและกันก่อนจะหันไปทางอื่น สายตาทั้งสองลอดผ่านเกราะพลังสีม่วงไปตามทาง หลังจากที่เห็นและสัมผัสใต้เท้าอย่างชัดเจนแล้ว ท่าทางพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที
ทั้งสองพบเห็นอันใดกัน?